วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคมนี้ สมัชชาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UN Security Council) จะนำเรื่องข้อพิพาทไทย-กัมพูชาเข้าหารืออย่างฉุกเฉิน
ที่จริงเรื่องข้อขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาน่าจะเป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายพูดคุยและตกลงกันเองได้ในระดับทวิภาคี หรือระหว่างสองประเทศ
แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมากัมพูชาเปิดเกมรุกทางการทูตกับไทยอย่างเต็มที่ โดยนำเรื่องเข้าสู่เวทีระดับภูมิภาคอย่าง Asean และได้ส่งหนังสือชี้แจงไปถึง UN Security Council เพื่อนำเรื่องนี้เข้าสู่เวทีโลก
ความขัดแย้งบานปลายไปขนาดนี้ ทางไทยต้องเร่งแก้ปัญหาทางการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างเร่งด่วน
อดีตเอกอัครราชทูตไทย กษิต ภิรมย์ ผู้มีประสบการณ์ยาวนานในกระทรวงการต่างประเทศ และเคยเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำรัสเซีย อินโดนีเซีย เยอรมนี ญี่ปุ่น และกรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์กับรายการที่นี่ ทีวีไทย ว่าไทยไม่ควรวิตกกังวลมากเกินไปที่กัมพูชานำเรื่องเข้าสู่เวทีระดับโลก และบอกว่า "เขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขา อยู่ที่รัฐบาลไทยจะทำอย่างไรมากกว่า"
อดีตเอกอัครราชทูตย้ำว่า ตอนนี้ไทยต้องกลับมาตั้งหลักการเจรจากับกัมพูชาใหม่ โดยต้องยืนยันที่จะใช้เอกสารเดิมที่เคยใช้ คือ 1. สนธิสัญญาระหว่างสยามและฝรั่งเศส เมื่อปี 1904 ซึ่งตามสนธิสัญญาจะใช้แนวสันปันน้ำ ซึ่งปราสาทพระวิหารจะอยู่ฝั่งไทย 2. จดหมายที่นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ส่งถึงศาลโลกเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2505 เพื่อโต้แย้งคำตัดสินของศาลโลก
ขณะเดียวกัน ศ.ดร. สุรชัย ศิริไกร จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่ากรณีที่กัมพูชาจะส่งเรื่องนี้ถึงศาลโลกด้วยนั้น ไม่น่าจะทำได้เพราะตามการดำเนินการของศาลโลก คู่กรณีทั้งสองต้องตกลงและยอมที่จะขึ้นศาลก่อน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยอมก็จะทำไม่ได้ แต่ที่สำคัญปัญหาระดับนี้ต้องให้ภูมิภาคพยายามแก้ปัญหากันเองก่อน
อาจารย์สุรชัย ย้ำว่าฝ่ายไทยต้องเร่งแก้สถานการณ์โดยเรียกประชุมทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย ผู้สื่อข่าวต่างชาติ และทำสมุดปกขาวชี้แจงต่อ Asean UN และตุลาการศาลโลก เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ของประเทศไทย
ที่สำคัญต้องไม่ลืมการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่กรณีอย่างกัมพูชาด้วย
No comments:
Post a Comment