30.12.11
Highlight Nattha's Interview 2011
รวบรวมคลิปสัมภาษณ์ในรอบปี 2554 มาให้ดูกันอีกรอบค่ะ
เป็นปีที่ "ปลื้ม" มากกับการทำหน้าที่ผู้สื่อข่าว ที่ได้สัมภาษณ์องค์ดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบต ในแง่จิตวิญญาณที่ดิฉันอ่านหนังสือ อ่านความคิดของพระองค์ต่อเนื่อง เป็นเรื่อง "อัศจรรย์" ที่ได้เข้าเฝ้าและสัมภาษณ์แบบนี้ กว่าที่จะได้เข้าไปสัมภาษณ์ ณ ที่พำนักที่เมืองธรรมศาลา ของอินเดีย ข้าวของในกระเป๋าถูกตรวจสอบทุกชิ้น ขอย้ำว่าทุกชิ้น และใช้เวลานานมาก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอาวุธใดๆทั้งสิ้น เป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่มีความหมายในเชิงจิตวิญญาณและความเป็นผู้สื่อข่าวมาก จะเป็นช่วงเวลาที่อยู่ในความทรงจำตลอดไปค่ะ
ขอย้ำว่าไปเข้าเฝ้าองค์ดาไลลามะ ที่อินเดียนะคะ ไม่ใช่ทิเบต พระองค์ทรงลี้ภัยออกจากกรุงลาซา ของทิเบตตั้งแต่ปี 1959 ค่ะ
คลิปอื่นๆ ก็ประทับใจมากค่ะ กับการสัมภาณ์ท่านทูตคริสตี้ เคนนีย์ ท่านทูตอาซิฟ อาหมัด และ ท่านทูตเซอิจิ โคจิมะ เอกอัครราชทูตสหรัฐ อังกฤษ และ ญี่ปุ่นค่ะ
เป็นปีที่ทำงานสนุกและเติมเต็มให้กับตนเองอีกปีหนึ่งค่ะ หวังว่าคุณผู้ชมจะ "เพลิน"ไปด้วยนะคะ
17.7.11
องค์ดาไล ลามะ พบ โอบามา ผู้นำสหรัฐ ครั้งที่สอง ณ ทำเนียบไวท์เฮาส์
ภาพเดียวที่ได้รับการเผยแพร่ ณ เวลานี้ กับการพบปะกันเป็นเวลา 45 นาที ระหว่าง บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ และองค์ดาไล ลามะ ที่ 14 ผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบต กว่าจะได้พบกันสองต่อสองเช่นนี้มิใช่เรื่องง่ายเลย ต้องฝ่าด่านแรงกดดันอย่างหนักจากกระทรวงการต่างประเทศของจีนที่ประกาศชัดเจนแล้วว่าไม่พอใจที่โอบามาไฟเขียวให้องค์ดาไล ลามะ พบ ขณะที่ บรรดาสส.ของทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน ก็ล๊อบบี้โอบามาอย่างหนักเช่นกันว่าต้องพบองค์ดาไล ลามะ ให้ได้ และต้องให้สมเกียรติของพระองค์ เพื่อแสดงจุดยืนว่าสหรัฐสนับสนุนทิเบต
สุดท้ายลงเอยว่าผู้นำทั้งสองได้พบกันที่ห้อง Map Room ณ ทำเนียบ White House ไม่ใช่ Oval Office ห้องที่โอบามาใช้พบกับผู้นำประเทศอย่างเป็นทางการ และครั้งนี้ห้ามสื่อมวลชนติดตามทำข่าว จึงมีเพียงภาพนิ่งภาพนี้ และแถลงการณ์ออกมาจากทำเนียบไวท์เฮาส์
เนื้อความของแถลงการณ์เป็นเช่นนี้
Yesterday morning President Obama met with His Holiness the XIV Dalai Lama in the Map Room of the White House. Here's the statement from the Press Secretary on their meeting:
The President reiterated his strong support for the preservation of the unique religious, cultural, and linguistic traditions of Tibet and the Tibetan people throughout the world. He underscored the importance of the protection of human rights of Tibetans in China. The President commended the Dalai Lama’s commitment to nonviolence and dialogue with China and his pursuit of the “Middle Way” approach. Reiterating the U.S. policy that Tibet is a part of the People’s Republic of China and the United States does not support independence for Tibet, the President stressed that he encourages direct dialogue to resolve long-standing differences and that a dialogue that produces results would be positive for China and Tibetans. The President stressed the importance he attaches to building a U.S.-China cooperative partnership. The Dalai Lama stated that he is not seeking independence for Tibet and hopes that dialogue between his representatives and the Chinese government can soon resume.
ใจความของแถลงการณ์คือ ประธานาธิบดีโอบามายืนยันสนับสนุนการส่งเสริมศาสนา วัฒนธรรม ภาษา ประเพณี ของทิเบตและความเป็นอยู่ของคนทิเบตทั่วโลก และตอกย้ำถึงความสำคัญที่จะต้องปกป้องสิทธิมนุษยชนคนทิเบตในจีน โอบามาสนับสนุนแนวทางขององค์ดาไล ลามะ ที่ยึดมั่นการต่อสู้แบบอหิงสาและการเจรจากับจีนในแบบ "ทางสายกลาง" โอบามาแสดงจุดยืนว่านโยบายของสหรัฐรับรู้ว่าทิเบตเป็นส่วนหนึ่งของจีนและสหรัฐไม่สนับสนุนให้ทิเบตเรียกร้องเอกราช ผู้นำสหรัฐย้ำว่าอยากเห็นการเจรจากันตรงไปตรงมาเพื่อแก้ปัญหาความชัดแย้ง และอยากให้มีผลออกมาอย่างสร้างสรรค์สำหรับจีนและคนทิเบต โอบามาย้ำด้วยถึงความสำคัญของการประสานงานกันฉันท์มิตรระหว่างสหรัฐกับจีน ขณะที่องค์ดาไล ลามะ ตรัสว่าไม่ได้ต้องการเรียกร้องเอกราชจากจีนและหวังว่าการเจรจาระหว่างตัวแทนของพระองค์กับรัฐบาลจีน จะเริ่มต้นระลอกใหม่ในไม่ช้า
ก่อนหน้าวันพบกันมีรายงานว่ากระทรวงการต่างประเทศของจีนกดดันประธานาธิบดีสหรัฐอย่างหนักว่าถ้าพบกับองค์ดาไล ลามะ จะกระทบความสัมพันธ์ของสองประเทศและถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของจีน โดยจีนย้ำว่าองค์ดาไล ลามะ คือ "ผู้นำแบ่งแยกดินแดน" ที่ต้องการเรียกร้องเอกราชให้กับทิเบต
ปีนี้องค์ดาไล ลามะ ทรงมีพระชนม์ครบ 76 พรรษาเต็มค่ะ พระองค์ทรงประกาศละวางบทบาททางการเมืองเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ขณะนี้ทิเบตมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้วคือ Lobsang Sengay ซึ่งรัฐบาลจีนก็บอกว่าจะไม่ยอมเจรจาด้วย
การต่อรองระหว่างจีนและทิเบตคงไม่จบง่ายๆ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเหลือเกินสำหรับรัฐบาลจีน
27.3.11
คลิปสัมภาษณ์ "องค์ดาไล ลามะ" ผู้นำทางจิตวิญญาณของคนธิเบต
คลิ๊ก รับชมบางส่วนของสัมภาษณ์พิเศษ "องค์ดาไล ลามะ" ผู้นำทางจิตวิญญาณของคนธิเบตค่ะ
วันที่สัมภาษณ์คือ 14 มีนาคม 2554 เป็นวันเดียวกับวันบรรยายธรรมประจำปีขององค์ดาไลลามะ ที่วัดนัมเกล เมืองธรรมศาลา ประเทศอินเดีย
ปีนี้ คนไทย 105 คน นำโดย "เสมสิกขาลัย" เป็นเจ้าภาพจัดงาน โดยคนไทยได้รับเกียรตินั่งในอุโบสถหลักของวัด เพื่อรับฟังธรรมจากพระองค์อย่างใกล้ชิดค่ะ ผู้คนอีกหลายพันคน พระสงฆ์ ภิกษุณี กระจายนั่งฟังกันอยู่รอบบริเวณวัดอย่างหนาแน่น ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง บางคนต้องมาจองที่กันไว้ข้ามคืน เพราะไม่อยากพลาดที่จะได้รับฟังเสียงของพระองค์อย่างชัดๆ
หลังจากทรงบรรยายธรรมนช่วงเช้า ไทยพีบีเอส ได้โอกาสสัมภาษณ์พิเศษพระองค์ ที่ห้องพำนัก ณ วัดนัมเกล
ช่วงที่พระองค์ทรงเริ่มต้อนรับคนไทยในการบรรยายธรรม ตรัสว่าศาสนาพุทธของไทยและของธิเบตคล้ายคลึงกันมาก ดิฉันเลยขอให้องค์ดาไล ลามะ ขยายความในช่วงสัมภาษณ์ว่าจะนำศาสนาไปประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองอย่างไร
20.3.11
เมื่อได้สัมภาษณ์ "องค์ดาไล ลามะ"
ภารกิจครั้งสำคัญในชีวิตความเป็นนักข่าวของดิฉันได้ลุล่วงไปแล้ว กับการสัมภาษณ์พิเศษ "องค์ดาไล ลามะ ที่ 14" ผู้นำทางจิตวิญญาณของคนธิเบต ณ ที่พำนักของท่าน วัดนัมเกล ธรรมศาลา ประเทศอินเดีย การสัมภาษณ์องค์ดาไล ลามะ หรือพระนามเดิมว่า Tenzin Gyatso เป็นครั้งที่ตื่นเต้นและปลาบปลื้มมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตก็ว่าได้ กับการได้พบผู้นำทางจิตวิญญาณสูงสุดของคนธิเบต ผู้เป็นศูนย์รวมทางจิตใจของคนธิเบตทั้งในธิเบตและคนธิเบตพลัดถิ่น และผู้จุดประกายเรื่องการฝึกฝนความเมตตา..ให้กับผู้คนทั่วโลก
ดีใจในฐานะคนข่าว กับการสัมภาษณ์ที่โอกาสมิได้เกิดขึ้นง่ายๆ
ปลื้มใจในฐานะ ผู้ติดตามผลงานคำสอนทางจิตวิญญาณของท่านมาหลายปี และได้พบกับพระองค์จริง ตัวจริง เสียงจริง
ห้วงเวลาที่ได้เข้าเฝ้าพระองค์ในสัปดาห์ที่แล้ว (วันที่ 14 มีนาคม 2554) เป็นจังหวะเดียวกับที่กำลังเกิดคำถามมากมายกับอนาคตของคนธิเบต ราว 6 ล้านคน รวมทั้งคนธิเบตที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกกว่า 1.5 ล้านคน ว่าจากนี้ไปจะเดินหน้าอย่างไรกับการต่อสู้ทางการเมือง เมื่อองค์ดาไล ลามะ ทรงประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่าจะไม่ทรงเป็นประมุขทางการเมืองอีกต่อไป จะขอคงบทบาทในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณเท่านั้น
ตลอดเวลาของการสัมภาษณ์ที่ได้สอบถามจากท่านตรงๆหลายคำถาม พระองค์ทรงย้ำถึงความตั้งใจที่จะถอนตัวทางการเมืองอย่างจริงจัง และดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ (ณ นาทีที่เขียนอยู่นี้ สส.ในรัฐสภาธิเบตพลัดถิ่นยังไม่ยอมอนุมัติการถอนตัวของท่าน มีเพียงแต่คณะรัฐมนตรีที่เปิดทางแล้ว)องค์ดาไลลามะ ตรัสว่า ถึงเวลาแล้วที่สามัญชนจะต้องเข้ามาบริหารการเมืองไปตามครรลองของประชาธิปไตย "นี่อาจจะเป็นความเห็นแก่ตัวของเรา แต่เราต้องการทำงานด้านจิตวิญญาณ ส่งเสริมคุณค่าความเป็นมนุษย์ และสอดคล้องของชีวิตกับศาสนา"
เหนือสิ่งอื่นใดพระองค์ตรัสว่า การตัดสินใจเช่นนี้เพื่อผลประโยชน์ของคนธิเบตเป็นหลัก...แต่ทรงอดไม่ได้ที่จะแย้มพรายว่า การประกาศแนวทางของพระองค์เช่นนี้น่าจะส่งผลดีกับการต่อรองกับจีนด้วย ความหมายของความต้องการให้ธิเบตเป็นเขตปกครองพิเศษ "autonomy" ของจีนคืออะไร นอกจากอนาคตธิเบต พระองค์ทรงคุยเรื่องหลักศาสนากับการแก้ปัญหาการเมือง การจุติกลับมาเกิด...เป็นผู้หญิง? และทรงเอ่ยถึงพันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี่ ผู้นำลิเบีย และสถาบัน "ดาไล ลามะ"
พบกับคำตอบเหล่านี้ในรายการที่นี่ทีวีไทย และช่วงตอบโจทย์ กับการสัมภาษณ์ "องค์ดาไล ลามะ ที่ 14" ในวัย 75 ย่าง 76 ปี ผู้ทรงเต็มไปด้วยพลังและชีวิตชีวา และจะมีรายงานพิเศษทั้งคนธิเบตรุ่นใหม่ การต่อสู้ทางการเมือง ผู้คนกับพระสงฆ์ที่ธรรมศาลา และคนธิเบตพลัดถิ่นกับ "ความภูมิใจ" ในการรักษาทุกสิ่งที่เป็นธิเบต
ภาพข้างบน บันทึกหลังการสัมภาษณ์กับองค์ดาไล ลามะ พร้อมด้วยคุณภานุมาศ เจนกิจวัฒนะ พี่อู๊ด ช่างภาพมือฉมังของไทยพีบีเอส ที่บุกลุยเต็มที่กับงานนี้ค่ะ ...พอสัมภาษณ์เสร็จดพระองค์ทรงจับมือกับดิฉันและพี่อู๊ด...รู้สึกได้ถึงความเมตตากับนาทีนั้นที่ท่านให้เต็ม 100 เปอร์เซนต์
28.1.11
blog tv: สัมภาษณ์ Hans Peter Kabul รองประธานศาลอาญาระหว่างประเทศ
blog tv: ฟังกันชัดๆ คำอธิบายจากผู้พิพากษา Hans Peter Kaul, Vice President, International Criminal Court (ICC)รองประธานศาลอาญาระหว่างประเทศ เรื่องข้อเรียกร้องของ นปช ให้สอบสวนเหตุการณ์จลาจลในไทยเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 90 คน ผู้พิพากษาคาอูล บอกทำไม่ได้ เหตุผลสำคัญคือแม้ไทยจะลงนามในสนธิสัญญากรุงโรม แต่ยังไม่ได้ลงสัตยาบัน ฉะนั้นกลไกของ ICC ไม่สามารถนำมาใช้ได้ในประเทศไทย
23.1.11
"ฉายเดี่ยว" นายกฯ ยืนยันแนวทางไทยเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา
ออกอากาศไปแล้ว 37 นาทีเต็ม เมื่อเวลา 20.30 น. คืนวันที่ 23 มกราคม (หลังจากคนไทย 5 คน เดินทางถึงประเทศไทยเมื่อวานนี้) นายกฯ บอกเป็นโอกาสที่ดีที่จะอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นในวันที่ 29 ธันวาคมปีที่แล้ว ที่คนไทย 7 คนถูกจับ
1. ที่มาคืออะไร
2. กระทบต่ออธิปไตยของเขตแดน ของประเทศหรือไม่
3. จากนี้ไปจะแก้ปัญหาของ 2 คนไทยที่เหลือ ปัญหาเขตแดน และ พรมแดนอย่างไร
นายกฯอภิสิทธิ์ เริ่มด้วยการอธิบายว่าปัญหาเขตแดน ไทย-กัมพูชา อ่อนไหว สลับซับซ้อนมาหลายสิบปี เพราะมีการสู้รบ มีสงคราม หลายสิบปี เกี่ยวข้องกับสนธิสัญญาและการเปลี่ยนแปลง หลายฝ่ายอาจจะเข้าใจไม่ตรงกันว่าสภาพการณ์เป็นอย่างไร สภาพพื้นที่ไทยกัมพูชา แต่ละจุด ไม่เหมือนกันด้วย ก่อนหน้านี้ วิพากษ์มากบริเวณปราสาทพระวิหาร ขณะที่ไทยยึดสันปันน้ำ ส่วนฝ่ายกัมพูชายึดแผนที่ 1: 200,0000 แต่บริเวณพื้นที่ปราสาทพระวิหาร แตกต่างจากที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว (บริเวณที่ถูกจับ)
เหตุการณ์ 29 ธันวาคม เกิดขึ้นได้อย่างไร โดยเฉพาะกับคุณพนิช วิกิตเศรษฐ์ สส ในสังกัดของรัฐบาล
นายกฯ เล่าว่าตั้งแต่เกิดปัญหาบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ก็เห็นแล้วว่าจะเกิดความตึงเครียดขึ้นกับกลุ่มพันธมิตร และ แนวปฏิบัติในชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้พี่น้องบริเวณชายแดนมีปัญหาเรื่องปากท้อง ส.ส. พนิช วิกิตเศรษฐ์ จึงอาสาลงพื้นที่ และถือเป็นหน้าที่ของ สส อยู่แล้วที่ต้องรับฟังคนทุกกลุ่ม คุณพนิช ประสานงาน และบอกว่าหนึ่งในประเด็นที่ติดใจคือ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พี่น้องเดือดร้อนเพราะที่ดินของตนเอง เข้าไปทำกินไม่ได้ ถ้าไปไม่ได้ก็จะเท่ากับสูญเสียอธิปไตยไป หนึ่งวันก่อนไป คุณพนิชบอกจะไปลงพื้นที่ที่จังหวัดปราจีนบุรี ผมบอกว่าไปลงพื้นที่ชายแดนได้ แต่คุณพนิช บอกว่าไปแล้วต้องประสานงานกับ ตำรวจตระเวณชายแดนที่จะลงพื้นที่ก่อนที่จะเข้าไป
แต่ความเป็นจริงก็คือวันที่ 29 ธันวาคม ได้รับทราบข่าว ก็เมื่อคนไทยทั้ง 7 คนถูกจับกุมแล้ว ขอยืนยันว่าคนไทยทั้ง 7 คน ไม่ได้มีเจตนาอะไร นอกจากดูปัญหาของคนในพื้นที่
นายกฯ แสดงภาพถ่ายบริเวณบ้านหนองจาน และอธิบายว่าบริเวณชายแดนเกิดการคร่อมกันไปมาระหว่างพี่น้องไทย-กัมพูชา มีมากกว่า 10 จุด เหตุการณ์ในวันนั้น บุคคลทั้ง 7 นั่งรถไปตามถนนเศรีเพ็ญ และเมื่อลงจากรถแล้วก็ได้ถ่ายวีดีโอ (แสดงไปตามเส้นประตามภาพ…วีดีโอความยาว 23 นาที )
หลังจากถูกจับวันที่ 29 ธันวาคม
วันที่ 30 ธันวาคม นายกฯเรียกประชุม เย็นวันที่ 30 ธันวาคม รมว.กษิต เดินทางไปกัมพูชา กัมพูชาอ้างว่ากลุ่มบุคคลทั้ง 7 เข้าไปในเขตแดนกัมพูชาอย่างชัดเจน วีดีโอที่ได้มาจากกัมพูชาเพื่อยืนยันว่าเข้าไปเขตแดนของกัมพูชาจริง
ในเบื้องต้นกัมพูชา อ้างว่าได้จับกุมบริเวณพื้นที่สีแดง ที่ทางเข้าเป็นวัด แต่เราไม่แน่ใจ และถือว่าเราได้วีดีโอมาแล้ว ถ้าจะถูกจับกุมก็น่าจะเป็นจุดสุดท้ายที่ปรากฎในวีดีโอ ซึ่งอยู่ระหว่างจุดสีน้ำเงินและสีแดง หลังจากนั้นส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปในพื้นที่ค่ำ 31 ธันวาคม เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไป พาเจ้าหน้าที่ไปที่จุดสีแดง และบอกว่าเป็นเขตแดนของกัมพูชา เจ้าหน้าที่ขอย้อนกลับไปที่จุดสีน้ำเงิน จากวีดีโอ และภาพที่เห็น เมื่อวัดพิกัดจุดสีน้ำเงินและสีแดง ปรากฏว่าอยู่ฝั่งนี้….
นายกฯ บอกจุดที่เกิดไม่ได้ไปอยู่ฝั่งไทยหรือกัมพูชา แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมถึงปฏิบัติเช่นนี้ เมื่อวัดพิกัดแล้ว ก็ได้ส่งหนังสือไปกัมพูชา บอกว่าหลังจากตรวจสอบแล้ว พบว่าจุดที่ถูกจับเป็นพิกัดที่อยู่ฝั่งขวา ของเส้น
“เราไม่ได้บอกว่าจุดที่คนไทย 7 คนถูกจับเป็นเขตแดนของกัมพูชา” นายกฯบอก
ประเด็นการที่ศาลกัมพูชาตัดสินเช่นนี้ เท่ากับยอมรับหรือไม่ว่าบุคคลเหล่านี้ขณะที่ถูกจับอยู่ในเขตแดนกัมพูชา
นายกฯ ชี้แจงว่าการตัดสินของศาลภายในประเทศใด ไม่มีผลที่จะมาชี้เรื่องเขตแดน การผูกพันจะผูกพันเฉพาะคู่ความ ไม่มีตรงไหนที่ไทยจะยอมรับการตัดสินของศาลกัมพูชา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเขตแดน เป็นแนวปฏิบัติตามแนวชายแดนพูดกันอย่างเปิดอก ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็จะไม่พอใจ นายกฯยืนยันว่า “เพราะมี MOU 2543 จะไม่มีผลผูกพันต่อเรื่องเขตแดน แต่การแก้ปัญหาชายแดนจะขึ้นอยู่กับ MOU และ JBC”
ส่วนกรณีคนไทย 2 คนที่ยังถูกจับ ต้องหารือกับทั้งสอง และทนายความ
เรื่องของเขตแดน นายกฯบอกว่าให้มีการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ที่บุคคลเหล่านี้ (คนกัมพูชา) อ้างสิทธิ์ในการครอบครองอย่างต่อเนื่อง ต้องมีการประสานงานกันเพื่อชี้แนวกันให้ชัด เพื่อกำหนดเส้นเขตแดนระหว่างประเทศ
ก่อนปิดท้าย นายกฯ บอกว่า “รัฐบาลยืนยันที่จะรักษาผลประโยชน์ของคนไทย ประเทศไทย รักษาอธิปไตย รักษาดินแดน การแก้ปัญหาเขตแดนต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน คำถามคือแนวทางการแก้ปัญหาเราจะใช้วิธีการใด”
“มีข้อเสนอให้ยกเลิก MOU 2543 ผมอยากถามว่าถ้ายกเลิกจะเกิดอะไรขึ้น MOU43 บอกว่าที่ครอบครองกันอยู่ไม่อาจนำไปอ้างกรรมสิทธิ์เป็นดินแดนของฝ่ายนั้นได้ ถ้า MOU 43 ถูกยกเลิกอะไรจะเกิดขึ้น คำตอบก็คือว่าชุมชนที่ครอบครองมานานก็จะอ้างว่าตนอยู่มานานแล้ว ได้ครอบครองกันมากว่า 30 ปีแล้ว ส่วนฝ่ายไทยก็จะบอกว่าไม่ใช่ เราจะยึดถือสิ่งทีเป็นสองหลักเขตลากเส้น แล้วก็จะไม่มีข้อตกลงในทางกฎหมาย ก็จะเหลือเรื่องเดียวก็คือการใช้กำลังผลักใสกัน ไม่ใช่จุดนี้จุดเดียว แต่จะเป็นหลายจุดที่จะเกิดขึ้น ในทางปฏิบัติที่ผ่านมา เราก็พยายามทำอย่างรัดกุมมากที่สุด”
รัฐบาลจะดูแนวทางปฏิบัติ และจะทำผ่านแนวทางการเจรจาต่อไป นายกฯบอก
แนวทางเรื่องเขตแดนจะเดินหน้าตาม MOU 43 ต่อไป “พี่น้องคลางแคลงใจว่ารัฐบาลมีผลประโยชน์อยู่ ผมขอยืนยัน 100 เปอร์เซ็นต์ ผมและรัฐบาลไม่มีผลประโยชน์อื่นใด ผมสำนึกว่ารัฐบาลต้องดูแลผลประโยชน์ของคนไทยและประเทศไทย ไม่มีความจำเป็นที่คนไทยจะทะเลาะกันเอง ขอให้คุยกันด้วยเหตุด้วยผล ผมยินดีรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างและยินดีทำงานร่วมกับพี่น้องคนไทยทุกคนครับ”
เป็นการอธิบายความเป็นมาเป็นไปเหตุการณ์คนไทย 7 คนถูกจับ แบบนายกฯรัฐมนตรี “ฉายเดี่ยว” 37 นาทีเต็ม ซึ่งไม่แน่ใจว่าผู้คนที่ติดตามรับฟังจะได้รับความกระจ่างมากขึ้นหรือไม่ กรณีจุดที่คนไทยถูกจับ แต่สาระสำคัญคือคำยืนยันของนายกรัฐมนตรีถึงความสำคัญของ MOU2543 และการยืนยันแนวทางการเจรจาเรื่องเขตแดนกับกัมพูชาต่อไปผ่านคณะกรรมาธิการร่วมชายแดน หรือ JBC และยืนยันด้วยว่าผลการตัดสินภายในประเทศของศาลกัมพูชา จะไม่มีผลผูกพันกับเรื่องเขตแดนของสองประเทศ
กัมพูชาจะเข้าใจเหมือนที่ไทยเข้าใจหรือไม่ นายกรัฐมนตรี “ฮุน เซน” ของกัมพูชา จะเห็นตรงกันกับนายกฯอภิสิทธิ์หรือไม่ ?!?
1. ที่มาคืออะไร
2. กระทบต่ออธิปไตยของเขตแดน ของประเทศหรือไม่
3. จากนี้ไปจะแก้ปัญหาของ 2 คนไทยที่เหลือ ปัญหาเขตแดน และ พรมแดนอย่างไร
นายกฯอภิสิทธิ์ เริ่มด้วยการอธิบายว่าปัญหาเขตแดน ไทย-กัมพูชา อ่อนไหว สลับซับซ้อนมาหลายสิบปี เพราะมีการสู้รบ มีสงคราม หลายสิบปี เกี่ยวข้องกับสนธิสัญญาและการเปลี่ยนแปลง หลายฝ่ายอาจจะเข้าใจไม่ตรงกันว่าสภาพการณ์เป็นอย่างไร สภาพพื้นที่ไทยกัมพูชา แต่ละจุด ไม่เหมือนกันด้วย ก่อนหน้านี้ วิพากษ์มากบริเวณปราสาทพระวิหาร ขณะที่ไทยยึดสันปันน้ำ ส่วนฝ่ายกัมพูชายึดแผนที่ 1: 200,0000 แต่บริเวณพื้นที่ปราสาทพระวิหาร แตกต่างจากที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว (บริเวณที่ถูกจับ)
เหตุการณ์ 29 ธันวาคม เกิดขึ้นได้อย่างไร โดยเฉพาะกับคุณพนิช วิกิตเศรษฐ์ สส ในสังกัดของรัฐบาล
นายกฯ เล่าว่าตั้งแต่เกิดปัญหาบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ก็เห็นแล้วว่าจะเกิดความตึงเครียดขึ้นกับกลุ่มพันธมิตร และ แนวปฏิบัติในชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้พี่น้องบริเวณชายแดนมีปัญหาเรื่องปากท้อง ส.ส. พนิช วิกิตเศรษฐ์ จึงอาสาลงพื้นที่ และถือเป็นหน้าที่ของ สส อยู่แล้วที่ต้องรับฟังคนทุกกลุ่ม คุณพนิช ประสานงาน และบอกว่าหนึ่งในประเด็นที่ติดใจคือ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พี่น้องเดือดร้อนเพราะที่ดินของตนเอง เข้าไปทำกินไม่ได้ ถ้าไปไม่ได้ก็จะเท่ากับสูญเสียอธิปไตยไป หนึ่งวันก่อนไป คุณพนิชบอกจะไปลงพื้นที่ที่จังหวัดปราจีนบุรี ผมบอกว่าไปลงพื้นที่ชายแดนได้ แต่คุณพนิช บอกว่าไปแล้วต้องประสานงานกับ ตำรวจตระเวณชายแดนที่จะลงพื้นที่ก่อนที่จะเข้าไป
แต่ความเป็นจริงก็คือวันที่ 29 ธันวาคม ได้รับทราบข่าว ก็เมื่อคนไทยทั้ง 7 คนถูกจับกุมแล้ว ขอยืนยันว่าคนไทยทั้ง 7 คน ไม่ได้มีเจตนาอะไร นอกจากดูปัญหาของคนในพื้นที่
นายกฯ แสดงภาพถ่ายบริเวณบ้านหนองจาน และอธิบายว่าบริเวณชายแดนเกิดการคร่อมกันไปมาระหว่างพี่น้องไทย-กัมพูชา มีมากกว่า 10 จุด เหตุการณ์ในวันนั้น บุคคลทั้ง 7 นั่งรถไปตามถนนเศรีเพ็ญ และเมื่อลงจากรถแล้วก็ได้ถ่ายวีดีโอ (แสดงไปตามเส้นประตามภาพ…วีดีโอความยาว 23 นาที )
หลังจากถูกจับวันที่ 29 ธันวาคม
วันที่ 30 ธันวาคม นายกฯเรียกประชุม เย็นวันที่ 30 ธันวาคม รมว.กษิต เดินทางไปกัมพูชา กัมพูชาอ้างว่ากลุ่มบุคคลทั้ง 7 เข้าไปในเขตแดนกัมพูชาอย่างชัดเจน วีดีโอที่ได้มาจากกัมพูชาเพื่อยืนยันว่าเข้าไปเขตแดนของกัมพูชาจริง
ในเบื้องต้นกัมพูชา อ้างว่าได้จับกุมบริเวณพื้นที่สีแดง ที่ทางเข้าเป็นวัด แต่เราไม่แน่ใจ และถือว่าเราได้วีดีโอมาแล้ว ถ้าจะถูกจับกุมก็น่าจะเป็นจุดสุดท้ายที่ปรากฎในวีดีโอ ซึ่งอยู่ระหว่างจุดสีน้ำเงินและสีแดง หลังจากนั้นส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปในพื้นที่ค่ำ 31 ธันวาคม เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไป พาเจ้าหน้าที่ไปที่จุดสีแดง และบอกว่าเป็นเขตแดนของกัมพูชา เจ้าหน้าที่ขอย้อนกลับไปที่จุดสีน้ำเงิน จากวีดีโอ และภาพที่เห็น เมื่อวัดพิกัดจุดสีน้ำเงินและสีแดง ปรากฏว่าอยู่ฝั่งนี้….
นายกฯ บอกจุดที่เกิดไม่ได้ไปอยู่ฝั่งไทยหรือกัมพูชา แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมถึงปฏิบัติเช่นนี้ เมื่อวัดพิกัดแล้ว ก็ได้ส่งหนังสือไปกัมพูชา บอกว่าหลังจากตรวจสอบแล้ว พบว่าจุดที่ถูกจับเป็นพิกัดที่อยู่ฝั่งขวา ของเส้น
“เราไม่ได้บอกว่าจุดที่คนไทย 7 คนถูกจับเป็นเขตแดนของกัมพูชา” นายกฯบอก
ประเด็นการที่ศาลกัมพูชาตัดสินเช่นนี้ เท่ากับยอมรับหรือไม่ว่าบุคคลเหล่านี้ขณะที่ถูกจับอยู่ในเขตแดนกัมพูชา
นายกฯ ชี้แจงว่าการตัดสินของศาลภายในประเทศใด ไม่มีผลที่จะมาชี้เรื่องเขตแดน การผูกพันจะผูกพันเฉพาะคู่ความ ไม่มีตรงไหนที่ไทยจะยอมรับการตัดสินของศาลกัมพูชา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเขตแดน เป็นแนวปฏิบัติตามแนวชายแดนพูดกันอย่างเปิดอก ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็จะไม่พอใจ นายกฯยืนยันว่า “เพราะมี MOU 2543 จะไม่มีผลผูกพันต่อเรื่องเขตแดน แต่การแก้ปัญหาชายแดนจะขึ้นอยู่กับ MOU และ JBC”
ส่วนกรณีคนไทย 2 คนที่ยังถูกจับ ต้องหารือกับทั้งสอง และทนายความ
เรื่องของเขตแดน นายกฯบอกว่าให้มีการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ที่บุคคลเหล่านี้ (คนกัมพูชา) อ้างสิทธิ์ในการครอบครองอย่างต่อเนื่อง ต้องมีการประสานงานกันเพื่อชี้แนวกันให้ชัด เพื่อกำหนดเส้นเขตแดนระหว่างประเทศ
ก่อนปิดท้าย นายกฯ บอกว่า “รัฐบาลยืนยันที่จะรักษาผลประโยชน์ของคนไทย ประเทศไทย รักษาอธิปไตย รักษาดินแดน การแก้ปัญหาเขตแดนต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน คำถามคือแนวทางการแก้ปัญหาเราจะใช้วิธีการใด”
“มีข้อเสนอให้ยกเลิก MOU 2543 ผมอยากถามว่าถ้ายกเลิกจะเกิดอะไรขึ้น MOU43 บอกว่าที่ครอบครองกันอยู่ไม่อาจนำไปอ้างกรรมสิทธิ์เป็นดินแดนของฝ่ายนั้นได้ ถ้า MOU 43 ถูกยกเลิกอะไรจะเกิดขึ้น คำตอบก็คือว่าชุมชนที่ครอบครองมานานก็จะอ้างว่าตนอยู่มานานแล้ว ได้ครอบครองกันมากว่า 30 ปีแล้ว ส่วนฝ่ายไทยก็จะบอกว่าไม่ใช่ เราจะยึดถือสิ่งทีเป็นสองหลักเขตลากเส้น แล้วก็จะไม่มีข้อตกลงในทางกฎหมาย ก็จะเหลือเรื่องเดียวก็คือการใช้กำลังผลักใสกัน ไม่ใช่จุดนี้จุดเดียว แต่จะเป็นหลายจุดที่จะเกิดขึ้น ในทางปฏิบัติที่ผ่านมา เราก็พยายามทำอย่างรัดกุมมากที่สุด”
รัฐบาลจะดูแนวทางปฏิบัติ และจะทำผ่านแนวทางการเจรจาต่อไป นายกฯบอก
แนวทางเรื่องเขตแดนจะเดินหน้าตาม MOU 43 ต่อไป “พี่น้องคลางแคลงใจว่ารัฐบาลมีผลประโยชน์อยู่ ผมขอยืนยัน 100 เปอร์เซ็นต์ ผมและรัฐบาลไม่มีผลประโยชน์อื่นใด ผมสำนึกว่ารัฐบาลต้องดูแลผลประโยชน์ของคนไทยและประเทศไทย ไม่มีความจำเป็นที่คนไทยจะทะเลาะกันเอง ขอให้คุยกันด้วยเหตุด้วยผล ผมยินดีรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างและยินดีทำงานร่วมกับพี่น้องคนไทยทุกคนครับ”
เป็นการอธิบายความเป็นมาเป็นไปเหตุการณ์คนไทย 7 คนถูกจับ แบบนายกฯรัฐมนตรี “ฉายเดี่ยว” 37 นาทีเต็ม ซึ่งไม่แน่ใจว่าผู้คนที่ติดตามรับฟังจะได้รับความกระจ่างมากขึ้นหรือไม่ กรณีจุดที่คนไทยถูกจับ แต่สาระสำคัญคือคำยืนยันของนายกรัฐมนตรีถึงความสำคัญของ MOU2543 และการยืนยันแนวทางการเจรจาเรื่องเขตแดนกับกัมพูชาต่อไปผ่านคณะกรรมาธิการร่วมชายแดน หรือ JBC และยืนยันด้วยว่าผลการตัดสินภายในประเทศของศาลกัมพูชา จะไม่มีผลผูกพันกับเรื่องเขตแดนของสองประเทศ
กัมพูชาจะเข้าใจเหมือนที่ไทยเข้าใจหรือไม่ นายกรัฐมนตรี “ฮุน เซน” ของกัมพูชา จะเห็นตรงกันกับนายกฯอภิสิทธิ์หรือไม่ ?!?
22.1.11
"ทุกคนเข้มแข็ง" ประโยคเดียวจาก "พนิช วิกิตเศรษฐ์"
“ทุกคนเข้มแข็ง”
ราว 17.05 น. ณ ทางออกประตูที่ 10 ขาเข้า (arrival) ของสนามบินสุวรรณภูมิ “คนไทย 5 คน” ที่ได้รับการปล่อยตัวจากประเทศกัมพูชาก็ได้มาถึงประเทศไทยค่ะ เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ “กลับ” ประเทศไทยอีกหลังจากถูกจับกุมที่กัมพูชา ที่บริเวณหลักเขตแดนที่ 46 – 47 ที่กำลังรอการปักปันเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ณ อ.โนนหมากมุ่น จ.สระแก้ว ของไทย เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553
เป็นการกลับมา หลังจากจากไป 25 วันเต็ม ที่ไม่ยอมเผยคำใดกับผู้สื่อข่าว มีเพียงประโยคเดียวของคุณพนิช วิกิตเศรษฐ์ สส.กรุงเทพมหานคร ที่พูดสั้นๆว่า “ทุกคนเข้มแข็ง”
ผู้สื่อข่าวไปรุมล้อมกันทุกสถานีข่าวตั้งแต่เช้าค่ะ ตอนแรกมีรายงานว่าคณะอาจจะเดินทางมาด้วยเที่ยวบินบางกอกแอร์เวย์ส ที่จะมาถึงไทย เที่ยวบิน PG938 เวลา 08.15 น. แต่ก็ไม่ได้มา ขณะที่ผู้สื่อข่าวส่วนใหญ่ปักหลักรอกันอย่างเต็มที่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน
ดิฉันไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิราว 15.30 น. หลังจากตรวจสอบจากแหล่งข่าวแล้วค่อนข้างจะแน่ใจว่าจะเดินทางมาด้วยเที่ยวบิน PG 934 ถึงเมืองไทยเวลา 16.45 น.
ระหว่างที่รอผู้สื่อข่าวต้องพยายามตรวจสอบกับแหล่งข่าวกันตลอดเวลา ทั้งจะเดินออกประตูไหน จะให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหรือไม่ จะเปิดแถลงข่าวหรือไม่ ใครจะเป็นคนพูดกับผู้สื่อข่าว เหล่านี้ล้วนต้องพยายามตั้งคำถามกันล่วงหน้า และต้องซักซ้อมทำความเข้าใจกับช่างภาพว่าใครจะคอยอยู่มุมไหน
โชคดีบวกกับความขยันของคุณสุกานดา สินขจิต ผู้สื่อข่าวสายการเมืองของทีวีไทย ที่มีสายข่าว “วงใน” ที่แม่นยำ ที่ยืนยันว่าเมื่อมาถึงแล้ว คณะของคนไทย 5 คน จะเดินไปที่ประตูทางออกที่ 10 ซึ่งปกติเป็นเขตหวงห้าม ทีมข่าวทุกสถานีเลยย้ายจุดปักหลักไปบริเวณนั้น ซึ่งก็พอจะมีหลักฐานให้ “อุ่นใจ” ได้บ้าง เพราะสืบไปสืบมา พบว่ามีรถของกระทรวงการต่างประเทศ และรถส่วนตัวของคุณพนิช ไปจอดรออยู่แล้ว
ราว 17.05 น. นาทีสำคัญมาถึงเมื่อคณะของ “คนไทย 5 คน” เดินออกมา พร้อมกับคุณชวนนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่เดินทางไปรับที่กรุงพนมเปญราว 06.00 น. ของวันนี้
เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคุณพนิช กันในระยะประชิด หลังจากได้รับการประกันตัวเมื่อ 13 ม.ค. ที่ผ่านมา พร้อมกับคุณนฤมล จิตรวะรัตนา เมื่อวานถ้าท่านได้ติดตามข่าวจะเห็นว่าคุณพนิช สวมหมวกสัญลักษณ์อาเซียนสีฟ้า
แต่วันนี้ไม่มีหมวกสีฟ้า มีแต่แว่นดำ เผยให้เห็นศรีษะที่โกนจริง ก่อนหน้านี้มีข่าวมาตลอดว่า คุณพนิช ต้องโกนผมเพราะโดนแมลงระหว่างอยู่ในเรือนจำ และอาจจะเกิดอาการติดเชื้อที่ศรีษะ
ช่วงชุลมุนกันเพื่อที่สื่อจะได้บันทึกภาพถ่าย และเป็นช่วงเสี้ยวนาทีที่ทั้งคณะจะเดินไปขึ้นรถที่จัดไว้ พอจะเห็นได้ชัดว่าคนไทยทั้ง 5 คน คงจะไม่พูดอะไรกับผู้สื่อข่าวเป็นแน่แท้ ดิฉันจึงตัดสินใจตะโกนถามขึ้นดังๆ “ให้กำลังใจคุณคุณวีระ และคุณราตรี ก่อนเดินทางมาไทยยังไงบ้างคะ” (หวังอยู่ในใจว่าเผื่อคุณพนิชจะหยุด) แต่ได้เพียงคำตอบสั้นๆชัดๆว่า “ทุกคนเข้มแข็ง”
“ทุกคนเข้มแข็ง” จึงเป็นเพียงประโยคเดียวที่พอจะได้ยินชัดๆจากคุณพนิช ในการเดินทางกลับถึงประเทศไทยในครั้งนี้ค่ะ
5 คนที่ถูกจับกุมและได้เดินทางกลับมาครั้งนี้คือ คุณพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม ร้อยตรีแซมดิน เลิศบุศย์ เลขาฯมูลนิธิกองทัพธรรม คุณกิจพลธรณ์ ชุสนะเสวี ผู้ช่วยคุณพนิช คุณตายแน่ มุ่งมาจน และ คุณนฤมล จิตรวะรัตนา
สองคนที่ยังถูกคุมขังอยู่ ณ เรือนจำเพรย์ซอว์ ก็คือคุณวีระ สมความคิด ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ และคุณราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ คนไทย 2 คน ที่ถูกตั้งข้อหาเพิ่มเติมเรื่องจารกรรมข้อมูลทางการทหารและเป็นภัยต่อความมั่นคงของกัมพูชา ศาลกัมพูชานัดวันพิจารณาคดีนี้ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์
การกลับมาครั้งนี้ของคนไทยทั้ง 5 คน จะว่าไปก็ถือว่าเร็ว เมื่อเทียบกับคำยืนยันของคุณซก เรือน อัยการประจำศาลกรุงพนมเปญที่พูดเมื่อวัน 20 มกราคมว่า จะตัดสินคดีเกี่ยวกับ 2 ข้อหาเรื่อง ล้ำเขตแดนกัมพูชาโดยผิดกฎหมาย และ เข้าเขตแดนทหาร ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ แต่หลังจากมีกระแสข่าวออกมา กระทรวงการต่างประเทศบอกว่าช้าเกินไป และบอกว่าจะพยายามเร่งรัด จนในที่สุดศาลกัมพูชาเลื่อนวันตัดสินเป็น 21 มกราคม และในช่วงหัวค่ำ ตัดสินว่าบุคคลทั้ง 5 มีเจตนาเข้าเขตแดนกัมพูชาจริง และโทษจำคุก 9 เดือน แต่โทษจำคุกเนื่องจากคนไทยทั้ง 5 คนอยู่ในเรือนจำมาตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2553 ส่วนระยะเวลารับโทษที่เหลืออีก 8 เดือน ศาลให้รอลงอาญา ดังนั้นคนไทยทั้ง 5 คนกลับบ้านได้เลย
เมื่อคุณวีระและคุณราตรี ยังไม่ได้กลับบ้าน และคุณวีระ บอกว่าจะต่อสู้คดีจนถึงที่สุดเพื่อยืนยันว่าถูกจับในพื้นที่ของไทย ขณะที่คุณการุณ ใสงาม ทนายความไทยบอกว่าจะต่อสู้บนพื้นฐานว่า คุณพนิช ถือเป็นหัวหน้าคณะของการเดินทางจนถูกจับกุมในครั้งนี้ เพราะคุณพนิช เป็น สส.และเป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการเจบีซีด้วย
กระบวนการทั้งหมดอาจจะเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
17.1.11
ไว้อาลัย "สายัณห์ วงษ์สา" ผู้ปีนเสาไฟฟ้า...เพื่อพ่อ
"สายัณห์ วงษา" ชายหนุ่มจากจังหวัดเลย ปีนขึ้นไปอยู่บนยอดเสาไฟฟ้าแรงสูง สูงเท่าตึก 15 ชั้นข้างอาคารไอทาวเวอร์ ถนนวิภาวดี-รังสิต ตั้งแต่เวลา 15.30 น.แล้ว จนถึงขณะนี้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งแล้ว ยังไม่แน่ชัดว่าคุณสายัณห์ต้องการอะไร ทราบแต่เพียงอยากคุยกับ "ซูฉี" ดาราหญิงฮ่องกงชื่อดัง ขณะอยู่บนยอดเสาไฟฟ้าได้ใช้โทรศัพท์มือถืออย่างต่อเนื่อง
ตำรวจกำลังเคลื่อนรถกระเช้าเข้าไปในพื้นที่ เพื่อพยายามให้ความช่วยเหลือแล้ว ขณะที่การจราจรตรงถนนวิภาวดีรังสิต หน้าอาคารชินวัตรทาวเวอร์ 3 รถติด เคลื่อนตัวช้า
17.15 น. มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่พยายามเจรจา แต่ท่าทีของคุณสายัณห์สับสน ล่าสุดบอกน้อยใจภรรยา เจ้าหน้าที่จึงไปตามมาช่วยเกลี้ยกล่อมแล้ว มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูพยายามเจรจา เกลี้ยกล่อมอย่างต่อเนื่อง จนคุณสายัณห์ คุยด้วยมาก ประเด็นหลักน่าจะอยู่ที่ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพ่อ ที่ขับรถเฉี่ยวชนกับเยาวชนวัย 16 ปี และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ หลังจากได้พูดคุยกับตำรวจที่ จ.เลย บ้านเกิด จนเข้าใจกันแล้วเรื่องคดีความ คุณสายัณห์บอกว่าจะยอมลงจากยอดเสา
19.40น. ขณะตำรวจส่งกระเช้าและเจ้าหน้าที่ขึ้นไปรับบนยอดเสา แต่ขณะที่พยายามจะขึ้นไป คุณสายัณห์พนมมือ กางแขน และตัดสินใจกระโดดลงมาจากยอดเสา...กระโหลกศรีษะแตก และ กระดูกซี่โครงหักหลายซี่ เจ้าหน้าที่ช่วยชีวิตไว้ไม่ทัน และเสียชีวิตในที่สุด
ขอไว้อาลัยให้คุณสายัณห์ ผู้ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมให้พ่อ จนสุดท้ายต้องแลกด้วยชีวิตของตน
3.1.11
"เด็กๆ" บ้านโฮมฮัก แม่ติ๋ว และ ลูกๆ
ตลอดเวลากว่า 2 ชั่วโมง ที่ได้ไปเยือนมูลนิธิ “บ้านโฮมฮัก” ช่วงบ่ายวันที่ 1 มกราคม 2554 ที่ผ่านมา น่าจะเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่มีคุณค่าที่สุดปีหนึ่งสำหรับดิฉันค่ะ ทั้งบรรยากาศพูดคุยอย่างอบอุ่นของเจ้าของบ้านอย่าง “แม่ติ๋ว” คุณสุธาสินี น้อยอินทร์ พร้อมด้วยบรรดาน้องๆชื่อเล่น ขึ้นต้นด้วย “ก” กันทุกคน ต่างมาล้อมหน้าล้อมหลัง “แขก” ผู้ไปเยือนอย่างเรากันแบบไม่เหงาเลยทีเดียว
หลายท่านอาจจะคุ้นหูกับ “บ้านโฮมฮัก” มานาน หลายท่านอาจจะเคยไปเยือนแล้วนะคะ และก็อาจจะคุ้นหูกับชื่อของ “แม่ติ๋ว” ที่เรียกได้ว่ากลายเป็นสัญลักษณ์ของแม่ ผู้ดูแลลูกๆที่ถูกทอดทิ้งเพราะติดเชื้อเอชไอวี หรือว่าพ่อแม่ของน้องๆเหล่านี้จากไปแล้ว แม่ติ๋วก็รับดูแลต่อ “แม่ติ๋ว” รับหน้าที่นี้มา 24 ปีเต็มแล้วค่ะ
ทุกวันนี้คุณแม่วัย 54 ปีคนนี้ มี “ลูก” อยู่ในความดูแลถึง 74 คน มีตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 18 ปีที่อยู่ในการดูแลของ “บ้านโฮมฮัก”
วันที่เราไปถึง “น้องกฤต” ทารกชายตัวน้อย วัยยังไม่หย่านม เพิ่งจะได้รับการต้อนรับเข้าสู่บ้านโฮมฮัก “แม่ติ๋ว”กระซิบบอกว่า น้องอาจจะได้รับเชื้อจากแม่ที่ทำงานค้าบริการ เมื่อเกิดปัญหาในช่วงวิกฤติน้ำท่วมที่นครศรีธรรมราชพลัดหลงกับแม่ หมอที่นั่นเลยต้องมาฝากไว้ที่ “บ้านโฮมฮัก” ก่อนเพื่อให้ดูแล แต่วันนี้กำลังได้ข่าวดีว่าทางโรงพยาบาลตามตัวแม่พบแล้ว คงจะได้อยู่กับลูกในอีกไม่ช้า
ตลอดเวลาที่นั่งคุยกับ “แม่ติ๋ว” รู้สึกเหมือนได้ฟังธรรมะ จากชีวิตจริงๆ จากคนที่ต้องเรียนรู้และอยู่กับความทุกข์ของเด็กที่ต้องลืมตามาดูโลกพร้อมกับเชื้อ HIV ขณะที่แม่ติ๋วเองก็สุขภาพไม่ดี กำลังป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ เวลาที่แม่ติ๋วเล่า บางครั้งดิฉันก็จะเสริมบ้าง ว่าฟังดูเศร้าจังเลยนะคะ อย่างเช่นว่า รุ่นน้องต้องเตรียมต่อโลงศพให้รุ่นพี่ เพราะความตายมาเยือนได้ทุกวินาที พอดิฉันบอกว่าเศร้า แม่ติ๋วบอกว่า “ไม่เศร้าหรอก เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับความพลัดพรากให้ได้”
แม่ติ๋วบอกว่า พูดถึงความตายคนเรามี 3 อย่าง “กลัวตาย รับรู้ว่าจะตาย และพร้อมจะตาย ซึ่งอาการต่างกัน กลัวตายคือปฏิเสธความตาย รับรู้ว่าจะตายก็จะพยายามต่อสู้เพื่อหนีความตาย ขณะที่พร้อมที่จะตายคือยอมรับความตาย และพร้อมที่จะอยู่อย่างมีสติ ใช้เวลาทุกนาทีอย่างมีค่า เพื่อทำช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ให้เกิดคุณค่า มีความสุขมากที่สุด”
แม่ติ๋วบอกว่า ทุกวันนี้ใจนิ่ง ใจสบาย แล้ว คงจะเป็นอย่างที่ว่าจริงๆเพราะดูหน้าตาสดชื่น แม้จะโดนโรคภัยเบียดเบียน
พลังแห่งความสุขนี้คงจะถ่ายทอดไปถึงน้องๆที่ “บ้านโฮมฮัก” ค่ะ
เด็กๆดูเล่นซนกันสนุก มีทะเลาะกันบ้างเล็กน้อย แต่ก็ใช้เวลาอยู่ร่วมกันได้แบบสบายๆ พี่ๆดูแลน้องๆ น้องบางคนฝึกเป็นไกด์แล้ว ช่วงที่นั่งคุยกับแม่ติ๋ว จะมีน้องๆมารุมล้อม แวะเข้ามานั่งพูดคุย ห้อมล้อมกับดิฉัน อย่างน้องแก้วจะมาขลุกอยู่ใกล้ๆ แถมยังวาด ส.ค.ส. ปีใหม่ให้พวกเราด้วย บอกว่า “ขอให้ผู้ใหญ่มีความสุข” ดิฉันถามว่าไม่อยากให้เด็กมีความสุขบ้างเหรอ น้องแก้วได้แต่ยิ้ม
เรื่องการปรับตัวให้เข้ากับสังคมภายนอก น้องๆ ที่นี่ทุกคนจะถูกฝึกให้ทำใจยอมรับ แม่ติ๋วเล่าให้ฟังว่า บางครั้งหลังกลับจากโรงเรียน “ลูก” เล่าให้ฟังว่าถูกเรียกว่า “อีเอดส์” แม่ติ๋วก็จะสอนลูกว่าอย่าไปโกรธ ก็ต้องยอมรับว่าเราเป็นโรคนี้จริง แต่ก็จะสอนว่าเราก็สามารถอยู่รวมกับสังคมได้ ถ้าไมไหวจริงๆก็ต้องย้ายโรงเรียน ส่วนใหญ่ในระดับนักเรียนด้วยกันจะไม่มีปัญหา แต่จะเป็นในระดับครูหรือผู้ปกครองที่เป็นห่วงเกรงบุตรหลานจะติดโรค แม่ติ๋วบอกว่าส่วนหนึ่งที่ต้องต่อสู้ตรงนี้ เพราะต้องการอธิบายต่อสังคมว่าในความเป็นจริงผู้ป่วยเอดส์ อยู่ร่วมกับคนทั่วไปได้โดยจะไม่แพร่เชื้อ จนถึงวันนี้มี “ลูกๆ”หลายคนที่เรียนจบถึงขั้นปริญญาแล้ว
ส่วน “น้องพิม” มีอาการชักบ่อย คล้ายกับเรียกร้องความสนใจ พอชักแล้วมีคนไปอยู่ใกล้ๆจะยิ่งชักหนัก แม่ติ๋วบอกว่า สังเกตดูแลเลยลองบอกผู้ช่วยว่าถ้าชัก ลองไม่เข้าไปรุม เดี๋ยวก็หายเอง ปรากฏว่าจริงๆ น้องพิมหายเอง และชักน้อยลง และอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทุกวันนี้การบริหารงานและภาระค่าใช้จ่ายของ “บ้านโฮมฮัก” คือความท้าทายสำคัญ น้องๆแต่ละคนมีค่าใช้จ่าย 12,000 บาท ต่อเดือนสำหรับยารักษาเชื้อ HIV ทั้งบ้านเด็กราว 74 คน รายจ่ายรวมกว่า 700,000 บาท! ต่อเดือน!
ตอนที่ไปเห็นอาคารใหญ่ของบ้านโฮมฮัก ดิฉันนึกว่าได้เงินประจำจากสถานทูตญี่ปุ่น เพราะเห็นมีคำจารึกไว้ แม่ติ๋วบอกว่าได้เงินตอนเปิดบ้าน 10 ปีแรก จากนั้นได้เงินก้อนที่สอง 10 ปีให้หลัง แต่ไม่ได้เป็นประจำ ทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายหนักมากกับการหาเงินให้ได้เดือนละ 700,000 บาท บางเดือนต้องใช้วิธีเป็นวิทยากรรับเชิญ บรรยายพิเศษตามสถานที่ต่างๆก็พอจะหมุนเงินได้บ้าง แต่บางเดือนถ้าไม่ไหวจริงๆก็ต้องไปกู้เพื่อนๆ แต่แม่ติ๋วย้ำว่าจะไม่ใช้วิธีนี้บ่อยนัก เพราะไม่อยากฝึกนิสัยให้เด็กๆคิดว่าพอไม่มีเงินก็ต้องไปยืมคนอื่น
แม่ติ๋วมีลูกสาวด้วย ชื่อ น้องเกี้ยว ที่เรียกว่าเชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ ตอนนี้เป็นนักเคลื่อนไหว บุกลุยเข้าไปทำงานที่โขงเจียม ประเทศ สปป.ลาว เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้หญิงลาวที่ต้องขายบริการ สอนเรื่องเพศศึกษาและการใช้ถุงยางอนามัย น้องเกี้ยวบอกว่าความรู้ที่ได้ก็ต้องนำมาใช้สอนน้องๆที่เริ่มจะเป็นเด็กวัยรุ่นที่ “บ้านโฮมฮัก”ด้วย เพราะเป็นเรื่องจำเป็นและเด็กๆควรจะได้เรียนรู้เพื่อจะไม่ไปแพร่เชื้อ
แม่ติ๋วบอกว่า เห็นลูกลุยอย่างนี้ พอจะเอ่ยปากห้าม หรือตักเตือนอะไรก็จะยั้งไว้ เพราะเหมือนเป็นกระจกเงาสะท้อนในวัยนักศึกษา ที่ได้ออกค่ายไปช่วยเหลือผู้คนในชุมชน ลุยๆ แบบที่น้องเกี้ยวทำอยู่ตอนนี้ด้วย
เรื่องการสานต่องานของ “บ้านโฮมฮัก” ที่แม่ติ๋วบอกว่าได้รับการติดต่อจาก “เสถียรธรรมสถาน” เพื่อดูแลต่อในกรณีที่แม่ติ๋วเป็นอะไรไป ณ วันนี้ดูเหมือนภารกิจที่อยู่ตรงหน้า ก็คือการให้คำมั่นแล้วว่าหลังปีใหม่จะปั่นจักรยานจาก กรุงเทพ สู่ เขาหลัก เพื่อร่วมรำลึกเหตุการณ์สึนามิครบรอบ 6 ปี ไม่มีคำว่า “รอ” อีกต่อไปแล้ว สำหรับ “แม่ติ๋ว” และ “ลูกๆ” แห่ง “บ้านโฮมฮัก” เมื่อ “ปัจจุบัน”คือเวลาที่ สำคัญที่สุดสำหรับสมาชิกแห่งบ้านที่เป็น “ศูนย์รวมความรัก” แห่งนี้
สนใจเสริมสร้างปัจจุบัน เพื่อ “อนาคต” ของน้องๆได้ที่
“บ้านโฮมฮัก”
มูลนิธิ สุธาสินี น้อยอินทร์ เพื่อเด็กและเยาวชน
เลขที่ 3 หมู่ 12 ตำบลตาดทอง อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร 35000
โทร 045-722241, 045-580200 มือถือ 081-075-4953, 082-153-7995, 084-474-4755
Email noiin_su@yahoo.com
หรือ
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขายโสธร ชื่อบัญชี มูลนิธิ สุธาสินี น้อยอินทร์ เพื่อเด็กและเยาวชน
บัญชีเลขที่ 561-2-21181-7
ธนาคารทหารไทย จำกัด สาขายโสธร ชื่อบัญชี มูลนิธิ สุธาสินี น้อยอินทร์ เพื่อเด็กและเยาวชน
บัญชีเลขที่ 437-2-13090-8
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขายโสธร ชื่อบัญชี มูลนิธิ สุธาสินี น้อยอินทร์ เพื่อเด็กและเยาวชน
บัญชีเลขที่ 129-2-57021-6
Subscribe to:
Posts (Atom)