ออกอากาศไปแล้ว 37 นาทีเต็ม เมื่อเวลา 20.30 น. คืนวันที่ 23 มกราคม (หลังจากคนไทย 5 คน เดินทางถึงประเทศไทยเมื่อวานนี้) นายกฯ บอกเป็นโอกาสที่ดีที่จะอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นในวันที่ 29 ธันวาคมปีที่แล้ว ที่คนไทย 7 คนถูกจับ
1. ที่มาคืออะไร
2. กระทบต่ออธิปไตยของเขตแดน ของประเทศหรือไม่
3. จากนี้ไปจะแก้ปัญหาของ 2 คนไทยที่เหลือ ปัญหาเขตแดน และ พรมแดนอย่างไร
นายกฯอภิสิทธิ์ เริ่มด้วยการอธิบายว่าปัญหาเขตแดน ไทย-กัมพูชา อ่อนไหว สลับซับซ้อนมาหลายสิบปี เพราะมีการสู้รบ มีสงคราม หลายสิบปี เกี่ยวข้องกับสนธิสัญญาและการเปลี่ยนแปลง หลายฝ่ายอาจจะเข้าใจไม่ตรงกันว่าสภาพการณ์เป็นอย่างไร สภาพพื้นที่ไทยกัมพูชา แต่ละจุด ไม่เหมือนกันด้วย ก่อนหน้านี้ วิพากษ์มากบริเวณปราสาทพระวิหาร ขณะที่ไทยยึดสันปันน้ำ ส่วนฝ่ายกัมพูชายึดแผนที่ 1: 200,0000 แต่บริเวณพื้นที่ปราสาทพระวิหาร แตกต่างจากที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว (บริเวณที่ถูกจับ)
เหตุการณ์ 29 ธันวาคม เกิดขึ้นได้อย่างไร โดยเฉพาะกับคุณพนิช วิกิตเศรษฐ์ สส ในสังกัดของรัฐบาล
นายกฯ เล่าว่าตั้งแต่เกิดปัญหาบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ก็เห็นแล้วว่าจะเกิดความตึงเครียดขึ้นกับกลุ่มพันธมิตร และ แนวปฏิบัติในชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้พี่น้องบริเวณชายแดนมีปัญหาเรื่องปากท้อง ส.ส. พนิช วิกิตเศรษฐ์ จึงอาสาลงพื้นที่ และถือเป็นหน้าที่ของ สส อยู่แล้วที่ต้องรับฟังคนทุกกลุ่ม คุณพนิช ประสานงาน และบอกว่าหนึ่งในประเด็นที่ติดใจคือ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พี่น้องเดือดร้อนเพราะที่ดินของตนเอง เข้าไปทำกินไม่ได้ ถ้าไปไม่ได้ก็จะเท่ากับสูญเสียอธิปไตยไป หนึ่งวันก่อนไป คุณพนิชบอกจะไปลงพื้นที่ที่จังหวัดปราจีนบุรี ผมบอกว่าไปลงพื้นที่ชายแดนได้ แต่คุณพนิช บอกว่าไปแล้วต้องประสานงานกับ ตำรวจตระเวณชายแดนที่จะลงพื้นที่ก่อนที่จะเข้าไป
แต่ความเป็นจริงก็คือวันที่ 29 ธันวาคม ได้รับทราบข่าว ก็เมื่อคนไทยทั้ง 7 คนถูกจับกุมแล้ว ขอยืนยันว่าคนไทยทั้ง 7 คน ไม่ได้มีเจตนาอะไร นอกจากดูปัญหาของคนในพื้นที่
นายกฯ แสดงภาพถ่ายบริเวณบ้านหนองจาน และอธิบายว่าบริเวณชายแดนเกิดการคร่อมกันไปมาระหว่างพี่น้องไทย-กัมพูชา มีมากกว่า 10 จุด เหตุการณ์ในวันนั้น บุคคลทั้ง 7 นั่งรถไปตามถนนเศรีเพ็ญ และเมื่อลงจากรถแล้วก็ได้ถ่ายวีดีโอ (แสดงไปตามเส้นประตามภาพ…วีดีโอความยาว 23 นาที )
หลังจากถูกจับวันที่ 29 ธันวาคม
วันที่ 30 ธันวาคม นายกฯเรียกประชุม เย็นวันที่ 30 ธันวาคม รมว.กษิต เดินทางไปกัมพูชา กัมพูชาอ้างว่ากลุ่มบุคคลทั้ง 7 เข้าไปในเขตแดนกัมพูชาอย่างชัดเจน วีดีโอที่ได้มาจากกัมพูชาเพื่อยืนยันว่าเข้าไปเขตแดนของกัมพูชาจริง
ในเบื้องต้นกัมพูชา อ้างว่าได้จับกุมบริเวณพื้นที่สีแดง ที่ทางเข้าเป็นวัด แต่เราไม่แน่ใจ และถือว่าเราได้วีดีโอมาแล้ว ถ้าจะถูกจับกุมก็น่าจะเป็นจุดสุดท้ายที่ปรากฎในวีดีโอ ซึ่งอยู่ระหว่างจุดสีน้ำเงินและสีแดง หลังจากนั้นส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปในพื้นที่ค่ำ 31 ธันวาคม เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไป พาเจ้าหน้าที่ไปที่จุดสีแดง และบอกว่าเป็นเขตแดนของกัมพูชา เจ้าหน้าที่ขอย้อนกลับไปที่จุดสีน้ำเงิน จากวีดีโอ และภาพที่เห็น เมื่อวัดพิกัดจุดสีน้ำเงินและสีแดง ปรากฏว่าอยู่ฝั่งนี้….
นายกฯ บอกจุดที่เกิดไม่ได้ไปอยู่ฝั่งไทยหรือกัมพูชา แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมถึงปฏิบัติเช่นนี้ เมื่อวัดพิกัดแล้ว ก็ได้ส่งหนังสือไปกัมพูชา บอกว่าหลังจากตรวจสอบแล้ว พบว่าจุดที่ถูกจับเป็นพิกัดที่อยู่ฝั่งขวา ของเส้น
“เราไม่ได้บอกว่าจุดที่คนไทย 7 คนถูกจับเป็นเขตแดนของกัมพูชา” นายกฯบอก
ประเด็นการที่ศาลกัมพูชาตัดสินเช่นนี้ เท่ากับยอมรับหรือไม่ว่าบุคคลเหล่านี้ขณะที่ถูกจับอยู่ในเขตแดนกัมพูชา
นายกฯ ชี้แจงว่าการตัดสินของศาลภายในประเทศใด ไม่มีผลที่จะมาชี้เรื่องเขตแดน การผูกพันจะผูกพันเฉพาะคู่ความ ไม่มีตรงไหนที่ไทยจะยอมรับการตัดสินของศาลกัมพูชา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเขตแดน เป็นแนวปฏิบัติตามแนวชายแดนพูดกันอย่างเปิดอก ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็จะไม่พอใจ นายกฯยืนยันว่า “เพราะมี MOU 2543 จะไม่มีผลผูกพันต่อเรื่องเขตแดน แต่การแก้ปัญหาชายแดนจะขึ้นอยู่กับ MOU และ JBC”
ส่วนกรณีคนไทย 2 คนที่ยังถูกจับ ต้องหารือกับทั้งสอง และทนายความ
เรื่องของเขตแดน นายกฯบอกว่าให้มีการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ที่บุคคลเหล่านี้ (คนกัมพูชา) อ้างสิทธิ์ในการครอบครองอย่างต่อเนื่อง ต้องมีการประสานงานกันเพื่อชี้แนวกันให้ชัด เพื่อกำหนดเส้นเขตแดนระหว่างประเทศ
ก่อนปิดท้าย นายกฯ บอกว่า “รัฐบาลยืนยันที่จะรักษาผลประโยชน์ของคนไทย ประเทศไทย รักษาอธิปไตย รักษาดินแดน การแก้ปัญหาเขตแดนต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน คำถามคือแนวทางการแก้ปัญหาเราจะใช้วิธีการใด”
“มีข้อเสนอให้ยกเลิก MOU 2543 ผมอยากถามว่าถ้ายกเลิกจะเกิดอะไรขึ้น MOU43 บอกว่าที่ครอบครองกันอยู่ไม่อาจนำไปอ้างกรรมสิทธิ์เป็นดินแดนของฝ่ายนั้นได้ ถ้า MOU 43 ถูกยกเลิกอะไรจะเกิดขึ้น คำตอบก็คือว่าชุมชนที่ครอบครองมานานก็จะอ้างว่าตนอยู่มานานแล้ว ได้ครอบครองกันมากว่า 30 ปีแล้ว ส่วนฝ่ายไทยก็จะบอกว่าไม่ใช่ เราจะยึดถือสิ่งทีเป็นสองหลักเขตลากเส้น แล้วก็จะไม่มีข้อตกลงในทางกฎหมาย ก็จะเหลือเรื่องเดียวก็คือการใช้กำลังผลักใสกัน ไม่ใช่จุดนี้จุดเดียว แต่จะเป็นหลายจุดที่จะเกิดขึ้น ในทางปฏิบัติที่ผ่านมา เราก็พยายามทำอย่างรัดกุมมากที่สุด”
รัฐบาลจะดูแนวทางปฏิบัติ และจะทำผ่านแนวทางการเจรจาต่อไป นายกฯบอก
แนวทางเรื่องเขตแดนจะเดินหน้าตาม MOU 43 ต่อไป “พี่น้องคลางแคลงใจว่ารัฐบาลมีผลประโยชน์อยู่ ผมขอยืนยัน 100 เปอร์เซ็นต์ ผมและรัฐบาลไม่มีผลประโยชน์อื่นใด ผมสำนึกว่ารัฐบาลต้องดูแลผลประโยชน์ของคนไทยและประเทศไทย ไม่มีความจำเป็นที่คนไทยจะทะเลาะกันเอง ขอให้คุยกันด้วยเหตุด้วยผล ผมยินดีรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างและยินดีทำงานร่วมกับพี่น้องคนไทยทุกคนครับ”
เป็นการอธิบายความเป็นมาเป็นไปเหตุการณ์คนไทย 7 คนถูกจับ แบบนายกฯรัฐมนตรี “ฉายเดี่ยว” 37 นาทีเต็ม ซึ่งไม่แน่ใจว่าผู้คนที่ติดตามรับฟังจะได้รับความกระจ่างมากขึ้นหรือไม่ กรณีจุดที่คนไทยถูกจับ แต่สาระสำคัญคือคำยืนยันของนายกรัฐมนตรีถึงความสำคัญของ MOU2543 และการยืนยันแนวทางการเจรจาเรื่องเขตแดนกับกัมพูชาต่อไปผ่านคณะกรรมาธิการร่วมชายแดน หรือ JBC และยืนยันด้วยว่าผลการตัดสินภายในประเทศของศาลกัมพูชา จะไม่มีผลผูกพันกับเรื่องเขตแดนของสองประเทศ
กัมพูชาจะเข้าใจเหมือนที่ไทยเข้าใจหรือไม่ นายกรัฐมนตรี “ฮุน เซน” ของกัมพูชา จะเห็นตรงกันกับนายกฯอภิสิทธิ์หรือไม่ ?!?
No comments:
Post a Comment