31.10.12

Campaign or not campaign?



6 วันสุดท้าย ก่อนถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2012 ยังเกิดวิกฤตทางฝั่งตะวันออกของประเทศ เพราะผลกระทบจาก "มหาพายุแซนดี้"

ผู้สมัครหลักทั้งสองประกาศ "ชะลอ" แผนลงหาเสียงเลือกตั้ง

ประธานาธิบดี บารัก โอบามา ประกาศบัญชาการต่อ ณ ทำเนียบไวท์เฮาส์ สั่งการอย่างใกล้ชิด และเมื่อสองวันก่อนพูดประโยคที่คงคัดมาอย่างดีแล้ว ตอนที่พูดกับนักข่าวในวันแถลงข่าวรับมือกับเฮอร์ริเคน แซนดี้ เมื่อ 29 ตุลาคม 2555

“I am not worried at this point about the impact on the election. I’m worried about the impact on families, and I’m worried about the impact on our first responders. I’m worried about the impact on our economy and on transportation,” Obama told reporters at a White House news conference soon after he held a situation room meeting on the hurricane preparedness."


"ผม่ไม่กังวลถึงผลกระทบต่อการเลือกตั้ง ผมเป็นห่วงผลต่อครอบครัว ผมกังวลผลกระทบต่อคนที่ต้องเจอพายุ ผมกังวลผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการขนส่ง"


30 ตุลาคม ประธานาธิบดีโอบามา แถลงการณ์เรื่องขอให้ทุกฝ่ายเตรียมพร้อมและทุกหน่วยงานต้องเร่งมือกันอย่างเต็มที่เพื่อบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยจาก Sandy 

http://cnn.com/video/#/video/bestoftv/2012/10/30/sotvo-oh-romney-sandy-food-drive.cnn

มิตต์ รอมนีย์ รอดูสถานการณ์อยู่ที่ Ohio รัฐที่แข่งกันอย่างดุเดือด และครั้งนี้คาดว่าจะเป็นรัฐตัดสินใครจะได้เป็นประธานาธิบดี รอมนีย์ไม่ได้โจมตีโอบามาหรือพูดหาเสียง แต่พูดในลักษณะเห็นใจผู้คนที่ต้องประสบความทุกข์ยากจากแซนดี้ และแปรการหาเสียงเป็นการบรรเทาทุกข์ 

แน่นอนทั้งสองฝ่ายกำลัง "หาเสียง" กันอยู่ เพียงแต่ไม่ได้บอกตรงๆเท่านั้น โดยเฉพาะประธานาธิบดีโอบามา คงจะทราบดีว่าครั้งนี้ความสามารถในการจัดการจะต้องพิสูจน์ออกมาให้เห็นชัดเจน และเดิมพันนี้อาจจะหมายถึงได้หรือไม่ได้เป็นประธานาธิบดีคนถัดไป ไม่แน่ Sandy อาจจะเข้ามาช่วยยกคะแนนให้ประธานาธิบดีอัฟริกัน-อเมริกัน ที่กำลังเจอแรงขับเคี่ยวสู่้กับรอมนีย์แบบหายใจรดต้นคอ 

รอมนีย์ก็คงจะรู้ดีว่าจะหาเสียงโจมตีโอบามาแบบตรงๆไม่ได้ เพราะบรรยากาศกำลังวิกฤต ต้องหันมาปลุกปลอบให้กำลังใจผู้ที่ประสบภัยแทน และทำหน้าที่เสมือนเป็น "คุณพ่อใจดี" ที่พร้อมจะส่งความปรารถนาดีไปยังผู้ประสบภัย 

ยังบอกไม่ได้ว่า Sandy จะส่งผลดีหรือลบกับฝ่ายไหน แต่ที่เห็นอยู่นี้ดิฉันว่าคือส่วนหนึ่งของการ "หาเสียง" แบบเนียนๆเป็นแน่แท้ //

9.9.12

กระบวนการสันติภาพปาตานีในบริบทของอาเซียน







รวบรวมภาพเวทีพูดคุยนานาชาติว่าด้วย "กระบวนการสันติภาพปาตานีในบริบทของอาเซียน" จัดขึ้น ณ หอประชุมใหญ่นานาชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ จ.สงขลา ระหว่างวันที่ 6-7 กันยายนค่ะ

งานนี้ดิฉันได้ลงไปตั้งวงพูดคุยสัมภาษณ์ เพื่อนำมาออก "ตอบโจทย์" คุยหลายๆว เพื่อระดมสมองหาทางออกให้กับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หัวข้อสำคัญของงานนี้คือการพูดคุยของหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาคประชาสังคม นักวิชาการ นักสันติวิธี นักรัฐศาสตร์  แนวทางสร้างบรรยากาศแห่งการพูดคุย เพื่อนำไปสู่กระบวนการสันติภาพ โดยเฉพาะแนวคิดเปิด "พื้นที่กลาง" เพื่อให้ "คนใน" ทำหน้าที่พูดคุยกัน ประสานกันโยงใยเป็นเครือข่าย ส่งเสียงกันว่าแนวทางที่ต้องการผลักดัน ต้องการให้เกิดสันติภาพเป็นอย่างไร

ปัญหาไฟใต้ ยืดเยื้อมาไม่ต่ำกว่า 9 ปีค่ะ ยังเป็นเรื่องที่คุกรุ่นอยู่มาก ผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 5,200 ราย เป็นที่น่าคิดว่าแนวทางการแก้ปัญหาที่เหมาะสมควรจะเป็นอย่างไร

นักวิชาการในพื้นที่อย่าง อ.ศรีสมภพ จิตย์ภิรมศรี และ อัฮหมัด สมบูรณ์ บัวหลวง ทำงานในพื้นที่ ลงไปคุยกับคนใน และ ในฐานะคนใน มากว่าปีแล้ว บอกว่าเข้าใจสิงที่ภาคประชาชน และภาคประชาสังคมต้องการ ว่าการผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ต้องมาจากความจริงใจของรัฐในการกระจายอำนาจ และบอกว่า ชื่อแห่งความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็น "เขตปกครองตนเอง" "เขตปกครองพิเศษ"  หรือการกระจายอำนาจ ไม่สำคัญเท่ากับกระบวนการที่จะทำให้เกิดขึ้น ว่าต้องดึงทุกภาคส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง ผ่านกระบวนการพูดคุยโดยสันติ หรือ peace dialogue

เรื่องไฟใต้ นักวิชาการจากนานาประเทศเข้ามาทำงานกันหลายท่านนะคะ อย่าง ดร.โนเบิร์ต โรเปอร์ส ผอ.องค์กรสนับสนุนสันติภาพเบิร์กฮอฟ เป็นผู้ผลักดันแนวคิดสร้างพื้นที่กลาง และพูดคุยโดยคนใน เพื่่อขยายฐานการพูดคุยให้เข้าถึงมวลชนมากที่สุด ระดับสูงก็ต้องคุยกันไปอย่างต่อเนื่อง แต่ระดับคนใน ในพื้นที่กลางคือหัวใจสำคัญที่จะต้องหาทางดึงผู้คนเข้าสู่กระบวนการสันติภาพให้มากที่สุด

งานนี้มีอดีตนายกรัฐมนตรีมาร่วม 2 ท่าน คือท่าน ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกฯมาเลเซีย และ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี คุณอภิสิทธิ์ บอกว่าเข้าใจดีว่าผู้คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว มีความหลากหลาย และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมีผลจากความขัดแย้งเรื่องอุดมการณ์ เพราะฉะนั้นต้องหา "กลไก" ที่แตกต่างออกไป เพื่อให้อยู่ร่วมกันต่อไป และแนวทางการแก้ปัญหาต้องมาจากบทบาทางการเมือง ต้องอาศัยความความเป็นผู้นำทางการเมือง ความมุ่งมั่นทางการเมือง และ กระบวนการทางการเมือง

ดร.มหาเธร์ แห่งมาเลเซีย บอกว่าอาเซียนอยู่กับความขัดแย้งมาตลอด การถือกำเนิดของอาเซียนก็เพื่อบรรเทาความขัดแย้ง ความเห็นต่าง เพื่อให้เพือนบ้านอยู่ร่วมกันได้ ดร.มหาเธร์ ยกตัวอย่างความขัดแย้งในฐานะเพื่อนบ้านระหว่างไทยและมาเลเซีย เรื่องการอ้างกรรมสิทธิ์นอกน่านน้ำอ่าวไทย ว่าแม้จะใช้เวลานาน แต่ที่สุดตกลงกันได้เรื่องแบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน

เรื่่องระหว่างประเทศอาเซียน ขณะที่ยึดหลักไม่แทรกแซงกิจการภายใน หรือ non-interference ถ้าฝ่ายไทยร้องขอมาเลเซียอาจจะเข้ามามีส่วนช่วยหาทางออกเรื่องภาคใต้ได้

เรื่องภาคใต้กำลังเป็นสถานการณ์ที่ขยายวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ และย่อมจะเรื้อรังต่อไปนะคะ ถ้าไม่เริ่มก้าวแรกของความพยายามแก้ปัญหาอย่างจริงจัง อย่างน้อยภาคประชาชนและภาคประชาสังคมเดินหน้าแล้ว กับกระบวนการสันติภาพ เพื่อทำความเข้าใจกับมวลชน ภาครัฐและหน่วยงานความมั่นคงคงต้องหาข้อมูลจริงจังมากขึ้น พูดคุยกับคนในมากขึ้น เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน กระบวนการสันติภาพแม้จะต้องใช้เวลาหลายปี แต่ควรจะได้เริ่มต้น แม้เส้นทางอาจจะไม่ราบรื่นก็ตาม

หมายเหตุ ภาพเดินกับดร.มหาเธร์ บันทึกโดย @idongphoto 

17.6.12

Kim Aris ให้กำลังใจแม่ ตอนกล่าวสุนทรพจน์

ออง ซาน ซูจี หลังกล่าวสุนทรพจน์จบ ผู้ร่วมงานยืนปรบมือให้นานหลายนาที

คิม อริส ลูกชายคนเล็กร่วมให้กำลังใจแม่ หลับตาฟังสุนทรพจน์

ออง ซาน ซูจี หลังกล่าวสุนทรพจน์จบ ได้รับการปรบมืออย่างกึกก้อง "standing ovation"

Part of Aung San Suu Kyi's speech mentions sufferings and this is what she shares with us  
"I was particularly intrigued by the last two kinds of suffering: to be parted from those one loves and to be forced to live in propinquity with those one does not love."

ดิฉันประสบกับความทุกข์ยากในสองเรื่อง คือต้องพลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก และต้องถูกบังคับให้อยู่ในสภาพแวดล้อมกับคนที่ไม่ได้รัก


Aung San Suu Kyi's Acceptance Speech for Nobel Peace Prize, 16 June 2012


Watch this historic speech by Aung San Suu Kyi in receiving the Nobel Peace Prize in Oslo Norway on 16 June 2012.

The Acceptance speech has moved the audience, many could not hold their tears while listening. The meaning must be from her real presence in the hall after 21 years.


20.5.12

ประธานาธิบดี โจเซ่ รามอส-ฮอร์ต้า ของติมอร์ เลสเต้ ตอบโจทย์ ครบรอบ 10 ปี ได้รับเอกราช


President Jose-Ramos Horta talks to Nattha Komolvadhin, ThaiPBS in "Tob Jote"



โอกาสครบรอบ 10 ปี ที่ประเทศน้องใหม่อย่างติมอร์ตะวันออก หรือ ติมอร์ เลสเต้ ได้รับเอกราชมาครบ 1 ทศวรรษ (ได้รับเอกราชเมื่อ 20 พฤษภาคม 2002) ดิฉันได้นั้่งคุยกับท่านประธานาธิบดีโจเซ่ รามอส-ฮอร์ต้า ผู้ทำงานต่อสู้อยู่ในเวทีระดับนานาชาติ เพื่อให้ติมอร์ตะวันออกได้รับเอกราช ท่านเดินสายพูดคุยในเวทีสหประชาชาติอย่างหนัก ในช่วงปี 1975-1999 ที่อินโดนีเซียเข้าไปยึดครองติมอร์ตะวันออก

รามอส ฮอร์ต้า ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีปี 2006 ถัดมาปี 2007 ได้เป็นประธานาธิบดีของติมอร์เลสเต้ ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพในปี 1996

เมื่อถึงวันที่ต้องส่งมอบตำแหน่งประธานาธิบดี ดิฉันเลยขอให้ท่านย้อนดูอดีตการต่อสู้ และมองไปข้างหน้าถึงอนาคตของติมอร์-เลสเต้ และสิ่งที่อยากให้คนรุ่นใหม่จดจำจากการต่อสู้อันยาวนานเพื่อเอกราชของประเทศ

รามอส ฮอร์ต้า ย้ำแล้วย้ำอีกว่าคนรุ่นใหม่ต้องเรียนหนังสือ ศึกษาหาความรู้ เพื่อสร้างชาติ จะออกไปประท้วงตามท้องถนนมากๆจะไม่เกิดประโยชน์ต้อง เรียน เรียน เรียน เท่านั้น

ตอบโจทย์ ออกอากาศแล้วทาง ThaiPBS วันที่ 18 พฤษภาคม 2555 (18 May 2012)
http://www.youtube.com/watch?v=57mPHEwrcp4


9.1.12

Interview Anwar Ibrahim, opposition leader of Malaysia



วันนี้ 9 ม.ค. 2555 ศาลสูงของมาเลเซียตัดสินว่าอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรค KPR อดีตรองนายกรัฐมนตรีและว่าที่นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ไม่มีความผิดข้อหามีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชาย หรือ sodomy สำหรับอันวาร์ และผู้คนที่สนับสนุนเขาต่างประหลาดใจกับคำตัดสิน แต่น่าจะทำให้เขาโล่งอก และเดินหน้าต่อทางการเมือง เข้าสู่การเลือกตั้งในมาเลเซีย

วันที่ 2 เมษายน 2552 ตอบโจทย์ เคยสัมภาษณ์อันวาร์ อิบราฮิม ตอนที่มาเมืองไทย ตอนนั้นเขาถูกตั้งข้อหา sodomy ครั้งที่สอง หลังจากเคยต้องถูกจำคุกเพราะข้อหานี้นานถึง 6 ปี คัดมาให้ดูคำตอบกันอีกทำ สำหรับนักการเมืองผู้พบกับจุดเลวร้ายที่สุดของชีวิตมาแล้ว จุดสูงสุดอาจจะกำลังมาถึงในไม่ช้า

30.12.11

Highlight Nattha's Interview 2011



รวบรวมคลิปสัมภาษณ์ในรอบปี 2554 มาให้ดูกันอีกรอบค่ะ
เป็นปีที่ "ปลื้ม" มากกับการทำหน้าที่ผู้สื่อข่าว ที่ได้สัมภาษณ์องค์ดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบต ในแง่จิตวิญญาณที่ดิฉันอ่านหนังสือ อ่านความคิดของพระองค์ต่อเนื่อง เป็นเรื่อง "อัศจรรย์" ที่ได้เข้าเฝ้าและสัมภาษณ์แบบนี้ กว่าที่จะได้เข้าไปสัมภาษณ์ ณ ที่พำนักที่เมืองธรรมศาลา ของอินเดีย ข้าวของในกระเป๋าถูกตรวจสอบทุกชิ้น ขอย้ำว่าทุกชิ้น และใช้เวลานานมาก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอาวุธใดๆทั้งสิ้น เป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่มีความหมายในเชิงจิตวิญญาณและความเป็นผู้สื่อข่าวมาก จะเป็นช่วงเวลาที่อยู่ในความทรงจำตลอดไปค่ะ

ขอย้ำว่าไปเข้าเฝ้าองค์ดาไลลามะ ที่อินเดียนะคะ ไม่ใช่ทิเบต พระองค์ทรงลี้ภัยออกจากกรุงลาซา ของทิเบตตั้งแต่ปี 1959 ค่ะ

คลิปอื่นๆ ก็ประทับใจมากค่ะ กับการสัมภาณ์ท่านทูตคริสตี้ เคนนีย์ ท่านทูตอาซิฟ อาหมัด และ ท่านทูตเซอิจิ โคจิมะ เอกอัครราชทูตสหรัฐ อังกฤษ และ ญี่ปุ่นค่ะ

เป็นปีที่ทำงานสนุกและเติมเต็มให้กับตนเองอีกปีหนึ่งค่ะ หวังว่าคุณผู้ชมจะ "เพลิน"ไปด้วยนะคะ

17.7.11

องค์ดาไล ลามะ พบ โอบามา ผู้นำสหรัฐ ครั้งที่สอง ณ ทำเนียบไวท์เฮาส์



ภาพเดียวที่ได้รับการเผยแพร่ ณ เวลานี้ กับการพบปะกันเป็นเวลา 45 นาที ระหว่าง บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ และองค์ดาไล ลามะ ที่ 14 ผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบต กว่าจะได้พบกันสองต่อสองเช่นนี้มิใช่เรื่องง่ายเลย ต้องฝ่าด่านแรงกดดันอย่างหนักจากกระทรวงการต่างประเทศของจีนที่ประกาศชัดเจนแล้วว่าไม่พอใจที่โอบามาไฟเขียวให้องค์ดาไล ลามะ พบ ขณะที่ บรรดาสส.ของทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน ก็ล๊อบบี้โอบามาอย่างหนักเช่นกันว่าต้องพบองค์ดาไล ลามะ ให้ได้ และต้องให้สมเกียรติของพระองค์ เพื่อแสดงจุดยืนว่าสหรัฐสนับสนุนทิเบต

สุดท้ายลงเอยว่าผู้นำทั้งสองได้พบกันที่ห้อง Map Room ณ ทำเนียบ White House ไม่ใช่ Oval Office ห้องที่โอบามาใช้พบกับผู้นำประเทศอย่างเป็นทางการ และครั้งนี้ห้ามสื่อมวลชนติดตามทำข่าว จึงมีเพียงภาพนิ่งภาพนี้ และแถลงการณ์ออกมาจากทำเนียบไวท์เฮาส์

เนื้อความของแถลงการณ์เป็นเช่นนี้

Yesterday morning President Obama met with His Holiness the XIV Dalai Lama in the Map Room of the White House. Here's the statement from the Press Secretary on their meeting:

The President reiterated his strong support for the preservation of the unique religious, cultural, and linguistic traditions of Tibet and the Tibetan people throughout the world. He underscored the importance of the protection of human rights of Tibetans in China. The President commended the Dalai Lama’s commitment to nonviolence and dialogue with China and his pursuit of the “Middle Way” approach. Reiterating the U.S. policy that Tibet is a part of the People’s Republic of China and the United States does not support independence for Tibet, the President stressed that he encourages direct dialogue to resolve long-standing differences and that a dialogue that produces results would be positive for China and Tibetans. The President stressed the importance he attaches to building a U.S.-China cooperative partnership. The Dalai Lama stated that he is not seeking independence for Tibet and hopes that dialogue between his representatives and the Chinese government can soon resume.

ใจความของแถลงการณ์คือ ประธานาธิบดีโอบามายืนยันสนับสนุนการส่งเสริมศาสนา วัฒนธรรม ภาษา ประเพณี ของทิเบตและความเป็นอยู่ของคนทิเบตทั่วโลก และตอกย้ำถึงความสำคัญที่จะต้องปกป้องสิทธิมนุษยชนคนทิเบตในจีน โอบามาสนับสนุนแนวทางขององค์ดาไล ลามะ ที่ยึดมั่นการต่อสู้แบบอหิงสาและการเจรจากับจีนในแบบ "ทางสายกลาง" โอบามาแสดงจุดยืนว่านโยบายของสหรัฐรับรู้ว่าทิเบตเป็นส่วนหนึ่งของจีนและสหรัฐไม่สนับสนุนให้ทิเบตเรียกร้องเอกราช ผู้นำสหรัฐย้ำว่าอยากเห็นการเจรจากันตรงไปตรงมาเพื่อแก้ปัญหาความชัดแย้ง และอยากให้มีผลออกมาอย่างสร้างสรรค์สำหรับจีนและคนทิเบต โอบามาย้ำด้วยถึงความสำคัญของการประสานงานกันฉันท์มิตรระหว่างสหรัฐกับจีน ขณะที่องค์ดาไล ลามะ ตรัสว่าไม่ได้ต้องการเรียกร้องเอกราชจากจีนและหวังว่าการเจรจาระหว่างตัวแทนของพระองค์กับรัฐบาลจีน จะเริ่มต้นระลอกใหม่ในไม่ช้า

ก่อนหน้าวันพบกันมีรายงานว่ากระทรวงการต่างประเทศของจีนกดดันประธานาธิบดีสหรัฐอย่างหนักว่าถ้าพบกับองค์ดาไล ลามะ จะกระทบความสัมพันธ์ของสองประเทศและถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของจีน โดยจีนย้ำว่าองค์ดาไล ลามะ คือ "ผู้นำแบ่งแยกดินแดน" ที่ต้องการเรียกร้องเอกราชให้กับทิเบต

ปีนี้องค์ดาไล ลามะ ทรงมีพระชนม์ครบ 76 พรรษาเต็มค่ะ พระองค์ทรงประกาศละวางบทบาททางการเมืองเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ขณะนี้ทิเบตมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้วคือ Lobsang Sengay ซึ่งรัฐบาลจีนก็บอกว่าจะไม่ยอมเจรจาด้วย

การต่อรองระหว่างจีนและทิเบตคงไม่จบง่ายๆ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเหลือเกินสำหรับรัฐบาลจีน

27.3.11

คลิปสัมภาษณ์ "องค์ดาไล ลามะ" ผู้นำทางจิตวิญญาณของคนธิเบต




คลิ๊ก รับชมบางส่วนของสัมภาษณ์พิเศษ "องค์ดาไล ลามะ" ผู้นำทางจิตวิญญาณของคนธิเบตค่ะ
วันที่สัมภาษณ์คือ 14 มีนาคม 2554 เป็นวันเดียวกับวันบรรยายธรรมประจำปีขององค์ดาไลลามะ ที่วัดนัมเกล เมืองธรรมศาลา ประเทศอินเดีย
ปีนี้ คนไทย 105 คน นำโดย "เสมสิกขาลัย" เป็นเจ้าภาพจัดงาน โดยคนไทยได้รับเกียรตินั่งในอุโบสถหลักของวัด เพื่อรับฟังธรรมจากพระองค์อย่างใกล้ชิดค่ะ ผู้คนอีกหลายพันคน พระสงฆ์ ภิกษุณี กระจายนั่งฟังกันอยู่รอบบริเวณวัดอย่างหนาแน่น ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง บางคนต้องมาจองที่กันไว้ข้ามคืน เพราะไม่อยากพลาดที่จะได้รับฟังเสียงของพระองค์อย่างชัดๆ

หลังจากทรงบรรยายธรรมนช่วงเช้า ไทยพีบีเอส ได้โอกาสสัมภาษณ์พิเศษพระองค์ ที่ห้องพำนัก ณ วัดนัมเกล

ช่วงที่พระองค์ทรงเริ่มต้อนรับคนไทยในการบรรยายธรรม ตรัสว่าศาสนาพุทธของไทยและของธิเบตคล้ายคลึงกันมาก ดิฉันเลยขอให้องค์ดาไล ลามะ ขยายความในช่วงสัมภาษณ์ว่าจะนำศาสนาไปประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองอย่างไร

20.3.11

เมื่อได้สัมภาษณ์ "องค์ดาไล ลามะ"



ภารกิจครั้งสำคัญในชีวิตความเป็นนักข่าวของดิฉันได้ลุล่วงไปแล้ว กับการสัมภาษณ์พิเศษ "องค์ดาไล ลามะ ที่ 14" ผู้นำทางจิตวิญญาณของคนธิเบต ณ ที่พำนักของท่าน วัดนัมเกล ธรรมศาลา ประเทศอินเดีย การสัมภาษณ์องค์ดาไล ลามะ หรือพระนามเดิมว่า Tenzin Gyatso เป็นครั้งที่ตื่นเต้นและปลาบปลื้มมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตก็ว่าได้ กับการได้พบผู้นำทางจิตวิญญาณสูงสุดของคนธิเบต ผู้เป็นศูนย์รวมทางจิตใจของคนธิเบตทั้งในธิเบตและคนธิเบตพลัดถิ่น และผู้จุดประกายเรื่องการฝึกฝนความเมตตา..ให้กับผู้คนทั่วโลก

ดีใจในฐานะคนข่าว กับการสัมภาษณ์ที่โอกาสมิได้เกิดขึ้นง่ายๆ
ปลื้มใจในฐานะ ผู้ติดตามผลงานคำสอนทางจิตวิญญาณของท่านมาหลายปี และได้พบกับพระองค์จริง ตัวจริง เสียงจริง

ห้วงเวลาที่ได้เข้าเฝ้าพระองค์ในสัปดาห์ที่แล้ว (วันที่ 14 มีนาคม 2554) เป็นจังหวะเดียวกับที่กำลังเกิดคำถามมากมายกับอนาคตของคนธิเบต ราว 6 ล้านคน รวมทั้งคนธิเบตที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกกว่า 1.5 ล้านคน ว่าจากนี้ไปจะเดินหน้าอย่างไรกับการต่อสู้ทางการเมือง เมื่อองค์ดาไล ลามะ ทรงประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่าจะไม่ทรงเป็นประมุขทางการเมืองอีกต่อไป จะขอคงบทบาทในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณเท่านั้น

ตลอดเวลาของการสัมภาษณ์ที่ได้สอบถามจากท่านตรงๆหลายคำถาม พระองค์ทรงย้ำถึงความตั้งใจที่จะถอนตัวทางการเมืองอย่างจริงจัง และดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ (ณ นาทีที่เขียนอยู่นี้ สส.ในรัฐสภาธิเบตพลัดถิ่นยังไม่ยอมอนุมัติการถอนตัวของท่าน มีเพียงแต่คณะรัฐมนตรีที่เปิดทางแล้ว)องค์ดาไลลามะ ตรัสว่า ถึงเวลาแล้วที่สามัญชนจะต้องเข้ามาบริหารการเมืองไปตามครรลองของประชาธิปไตย "นี่อาจจะเป็นความเห็นแก่ตัวของเรา แต่เราต้องการทำงานด้านจิตวิญญาณ ส่งเสริมคุณค่าความเป็นมนุษย์ และสอดคล้องของชีวิตกับศาสนา"

เหนือสิ่งอื่นใดพระองค์ตรัสว่า การตัดสินใจเช่นนี้เพื่อผลประโยชน์ของคนธิเบตเป็นหลัก...แต่ทรงอดไม่ได้ที่จะแย้มพรายว่า การประกาศแนวทางของพระองค์เช่นนี้น่าจะส่งผลดีกับการต่อรองกับจีนด้วย ความหมายของความต้องการให้ธิเบตเป็นเขตปกครองพิเศษ "autonomy" ของจีนคืออะไร นอกจากอนาคตธิเบต พระองค์ทรงคุยเรื่องหลักศาสนากับการแก้ปัญหาการเมือง การจุติกลับมาเกิด...เป็นผู้หญิง? และทรงเอ่ยถึงพันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี่ ผู้นำลิเบีย และสถาบัน "ดาไล ลามะ"

พบกับคำตอบเหล่านี้ในรายการที่นี่ทีวีไทย และช่วงตอบโจทย์ กับการสัมภาษณ์ "องค์ดาไล ลามะ ที่ 14" ในวัย 75 ย่าง 76 ปี ผู้ทรงเต็มไปด้วยพลังและชีวิตชีวา และจะมีรายงานพิเศษทั้งคนธิเบตรุ่นใหม่ การต่อสู้ทางการเมือง ผู้คนกับพระสงฆ์ที่ธรรมศาลา และคนธิเบตพลัดถิ่นกับ "ความภูมิใจ" ในการรักษาทุกสิ่งที่เป็นธิเบต

ภาพข้างบน บันทึกหลังการสัมภาษณ์กับองค์ดาไล ลามะ พร้อมด้วยคุณภานุมาศ เจนกิจวัฒนะ พี่อู๊ด ช่างภาพมือฉมังของไทยพีบีเอส ที่บุกลุยเต็มที่กับงานนี้ค่ะ ...พอสัมภาษณ์เสร็จดพระองค์ทรงจับมือกับดิฉันและพี่อู๊ด...รู้สึกได้ถึงความเมตตากับนาทีนั้นที่ท่านให้เต็ม 100 เปอร์เซนต์