17.6.12

Kim Aris ให้กำลังใจแม่ ตอนกล่าวสุนทรพจน์

ออง ซาน ซูจี หลังกล่าวสุนทรพจน์จบ ผู้ร่วมงานยืนปรบมือให้นานหลายนาที

คิม อริส ลูกชายคนเล็กร่วมให้กำลังใจแม่ หลับตาฟังสุนทรพจน์

ออง ซาน ซูจี หลังกล่าวสุนทรพจน์จบ ได้รับการปรบมืออย่างกึกก้อง "standing ovation"

Part of Aung San Suu Kyi's speech mentions sufferings and this is what she shares with us  
"I was particularly intrigued by the last two kinds of suffering: to be parted from those one loves and to be forced to live in propinquity with those one does not love."

ดิฉันประสบกับความทุกข์ยากในสองเรื่อง คือต้องพลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก และต้องถูกบังคับให้อยู่ในสภาพแวดล้อมกับคนที่ไม่ได้รัก


Aung San Suu Kyi's Acceptance Speech for Nobel Peace Prize, 16 June 2012


Watch this historic speech by Aung San Suu Kyi in receiving the Nobel Peace Prize in Oslo Norway on 16 June 2012.

The Acceptance speech has moved the audience, many could not hold their tears while listening. The meaning must be from her real presence in the hall after 21 years.


20.5.12

ประธานาธิบดี โจเซ่ รามอส-ฮอร์ต้า ของติมอร์ เลสเต้ ตอบโจทย์ ครบรอบ 10 ปี ได้รับเอกราช


President Jose-Ramos Horta talks to Nattha Komolvadhin, ThaiPBS in "Tob Jote"



โอกาสครบรอบ 10 ปี ที่ประเทศน้องใหม่อย่างติมอร์ตะวันออก หรือ ติมอร์ เลสเต้ ได้รับเอกราชมาครบ 1 ทศวรรษ (ได้รับเอกราชเมื่อ 20 พฤษภาคม 2002) ดิฉันได้นั้่งคุยกับท่านประธานาธิบดีโจเซ่ รามอส-ฮอร์ต้า ผู้ทำงานต่อสู้อยู่ในเวทีระดับนานาชาติ เพื่อให้ติมอร์ตะวันออกได้รับเอกราช ท่านเดินสายพูดคุยในเวทีสหประชาชาติอย่างหนัก ในช่วงปี 1975-1999 ที่อินโดนีเซียเข้าไปยึดครองติมอร์ตะวันออก

รามอส ฮอร์ต้า ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีปี 2006 ถัดมาปี 2007 ได้เป็นประธานาธิบดีของติมอร์เลสเต้ ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพในปี 1996

เมื่อถึงวันที่ต้องส่งมอบตำแหน่งประธานาธิบดี ดิฉันเลยขอให้ท่านย้อนดูอดีตการต่อสู้ และมองไปข้างหน้าถึงอนาคตของติมอร์-เลสเต้ และสิ่งที่อยากให้คนรุ่นใหม่จดจำจากการต่อสู้อันยาวนานเพื่อเอกราชของประเทศ

รามอส ฮอร์ต้า ย้ำแล้วย้ำอีกว่าคนรุ่นใหม่ต้องเรียนหนังสือ ศึกษาหาความรู้ เพื่อสร้างชาติ จะออกไปประท้วงตามท้องถนนมากๆจะไม่เกิดประโยชน์ต้อง เรียน เรียน เรียน เท่านั้น

ตอบโจทย์ ออกอากาศแล้วทาง ThaiPBS วันที่ 18 พฤษภาคม 2555 (18 May 2012)
http://www.youtube.com/watch?v=57mPHEwrcp4


9.1.12

Interview Anwar Ibrahim, opposition leader of Malaysia



วันนี้ 9 ม.ค. 2555 ศาลสูงของมาเลเซียตัดสินว่าอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรค KPR อดีตรองนายกรัฐมนตรีและว่าที่นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ไม่มีความผิดข้อหามีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชาย หรือ sodomy สำหรับอันวาร์ และผู้คนที่สนับสนุนเขาต่างประหลาดใจกับคำตัดสิน แต่น่าจะทำให้เขาโล่งอก และเดินหน้าต่อทางการเมือง เข้าสู่การเลือกตั้งในมาเลเซีย

วันที่ 2 เมษายน 2552 ตอบโจทย์ เคยสัมภาษณ์อันวาร์ อิบราฮิม ตอนที่มาเมืองไทย ตอนนั้นเขาถูกตั้งข้อหา sodomy ครั้งที่สอง หลังจากเคยต้องถูกจำคุกเพราะข้อหานี้นานถึง 6 ปี คัดมาให้ดูคำตอบกันอีกทำ สำหรับนักการเมืองผู้พบกับจุดเลวร้ายที่สุดของชีวิตมาแล้ว จุดสูงสุดอาจจะกำลังมาถึงในไม่ช้า

30.12.11

Highlight Nattha's Interview 2011



รวบรวมคลิปสัมภาษณ์ในรอบปี 2554 มาให้ดูกันอีกรอบค่ะ
เป็นปีที่ "ปลื้ม" มากกับการทำหน้าที่ผู้สื่อข่าว ที่ได้สัมภาษณ์องค์ดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบต ในแง่จิตวิญญาณที่ดิฉันอ่านหนังสือ อ่านความคิดของพระองค์ต่อเนื่อง เป็นเรื่อง "อัศจรรย์" ที่ได้เข้าเฝ้าและสัมภาษณ์แบบนี้ กว่าที่จะได้เข้าไปสัมภาษณ์ ณ ที่พำนักที่เมืองธรรมศาลา ของอินเดีย ข้าวของในกระเป๋าถูกตรวจสอบทุกชิ้น ขอย้ำว่าทุกชิ้น และใช้เวลานานมาก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอาวุธใดๆทั้งสิ้น เป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่มีความหมายในเชิงจิตวิญญาณและความเป็นผู้สื่อข่าวมาก จะเป็นช่วงเวลาที่อยู่ในความทรงจำตลอดไปค่ะ

ขอย้ำว่าไปเข้าเฝ้าองค์ดาไลลามะ ที่อินเดียนะคะ ไม่ใช่ทิเบต พระองค์ทรงลี้ภัยออกจากกรุงลาซา ของทิเบตตั้งแต่ปี 1959 ค่ะ

คลิปอื่นๆ ก็ประทับใจมากค่ะ กับการสัมภาณ์ท่านทูตคริสตี้ เคนนีย์ ท่านทูตอาซิฟ อาหมัด และ ท่านทูตเซอิจิ โคจิมะ เอกอัครราชทูตสหรัฐ อังกฤษ และ ญี่ปุ่นค่ะ

เป็นปีที่ทำงานสนุกและเติมเต็มให้กับตนเองอีกปีหนึ่งค่ะ หวังว่าคุณผู้ชมจะ "เพลิน"ไปด้วยนะคะ

17.7.11

องค์ดาไล ลามะ พบ โอบามา ผู้นำสหรัฐ ครั้งที่สอง ณ ทำเนียบไวท์เฮาส์



ภาพเดียวที่ได้รับการเผยแพร่ ณ เวลานี้ กับการพบปะกันเป็นเวลา 45 นาที ระหว่าง บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ และองค์ดาไล ลามะ ที่ 14 ผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบต กว่าจะได้พบกันสองต่อสองเช่นนี้มิใช่เรื่องง่ายเลย ต้องฝ่าด่านแรงกดดันอย่างหนักจากกระทรวงการต่างประเทศของจีนที่ประกาศชัดเจนแล้วว่าไม่พอใจที่โอบามาไฟเขียวให้องค์ดาไล ลามะ พบ ขณะที่ บรรดาสส.ของทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน ก็ล๊อบบี้โอบามาอย่างหนักเช่นกันว่าต้องพบองค์ดาไล ลามะ ให้ได้ และต้องให้สมเกียรติของพระองค์ เพื่อแสดงจุดยืนว่าสหรัฐสนับสนุนทิเบต

สุดท้ายลงเอยว่าผู้นำทั้งสองได้พบกันที่ห้อง Map Room ณ ทำเนียบ White House ไม่ใช่ Oval Office ห้องที่โอบามาใช้พบกับผู้นำประเทศอย่างเป็นทางการ และครั้งนี้ห้ามสื่อมวลชนติดตามทำข่าว จึงมีเพียงภาพนิ่งภาพนี้ และแถลงการณ์ออกมาจากทำเนียบไวท์เฮาส์

เนื้อความของแถลงการณ์เป็นเช่นนี้

Yesterday morning President Obama met with His Holiness the XIV Dalai Lama in the Map Room of the White House. Here's the statement from the Press Secretary on their meeting:

The President reiterated his strong support for the preservation of the unique religious, cultural, and linguistic traditions of Tibet and the Tibetan people throughout the world. He underscored the importance of the protection of human rights of Tibetans in China. The President commended the Dalai Lama’s commitment to nonviolence and dialogue with China and his pursuit of the “Middle Way” approach. Reiterating the U.S. policy that Tibet is a part of the People’s Republic of China and the United States does not support independence for Tibet, the President stressed that he encourages direct dialogue to resolve long-standing differences and that a dialogue that produces results would be positive for China and Tibetans. The President stressed the importance he attaches to building a U.S.-China cooperative partnership. The Dalai Lama stated that he is not seeking independence for Tibet and hopes that dialogue between his representatives and the Chinese government can soon resume.

ใจความของแถลงการณ์คือ ประธานาธิบดีโอบามายืนยันสนับสนุนการส่งเสริมศาสนา วัฒนธรรม ภาษา ประเพณี ของทิเบตและความเป็นอยู่ของคนทิเบตทั่วโลก และตอกย้ำถึงความสำคัญที่จะต้องปกป้องสิทธิมนุษยชนคนทิเบตในจีน โอบามาสนับสนุนแนวทางขององค์ดาไล ลามะ ที่ยึดมั่นการต่อสู้แบบอหิงสาและการเจรจากับจีนในแบบ "ทางสายกลาง" โอบามาแสดงจุดยืนว่านโยบายของสหรัฐรับรู้ว่าทิเบตเป็นส่วนหนึ่งของจีนและสหรัฐไม่สนับสนุนให้ทิเบตเรียกร้องเอกราช ผู้นำสหรัฐย้ำว่าอยากเห็นการเจรจากันตรงไปตรงมาเพื่อแก้ปัญหาความชัดแย้ง และอยากให้มีผลออกมาอย่างสร้างสรรค์สำหรับจีนและคนทิเบต โอบามาย้ำด้วยถึงความสำคัญของการประสานงานกันฉันท์มิตรระหว่างสหรัฐกับจีน ขณะที่องค์ดาไล ลามะ ตรัสว่าไม่ได้ต้องการเรียกร้องเอกราชจากจีนและหวังว่าการเจรจาระหว่างตัวแทนของพระองค์กับรัฐบาลจีน จะเริ่มต้นระลอกใหม่ในไม่ช้า

ก่อนหน้าวันพบกันมีรายงานว่ากระทรวงการต่างประเทศของจีนกดดันประธานาธิบดีสหรัฐอย่างหนักว่าถ้าพบกับองค์ดาไล ลามะ จะกระทบความสัมพันธ์ของสองประเทศและถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของจีน โดยจีนย้ำว่าองค์ดาไล ลามะ คือ "ผู้นำแบ่งแยกดินแดน" ที่ต้องการเรียกร้องเอกราชให้กับทิเบต

ปีนี้องค์ดาไล ลามะ ทรงมีพระชนม์ครบ 76 พรรษาเต็มค่ะ พระองค์ทรงประกาศละวางบทบาททางการเมืองเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ขณะนี้ทิเบตมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้วคือ Lobsang Sengay ซึ่งรัฐบาลจีนก็บอกว่าจะไม่ยอมเจรจาด้วย

การต่อรองระหว่างจีนและทิเบตคงไม่จบง่ายๆ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเหลือเกินสำหรับรัฐบาลจีน

27.3.11

คลิปสัมภาษณ์ "องค์ดาไล ลามะ" ผู้นำทางจิตวิญญาณของคนธิเบต




คลิ๊ก รับชมบางส่วนของสัมภาษณ์พิเศษ "องค์ดาไล ลามะ" ผู้นำทางจิตวิญญาณของคนธิเบตค่ะ
วันที่สัมภาษณ์คือ 14 มีนาคม 2554 เป็นวันเดียวกับวันบรรยายธรรมประจำปีขององค์ดาไลลามะ ที่วัดนัมเกล เมืองธรรมศาลา ประเทศอินเดีย
ปีนี้ คนไทย 105 คน นำโดย "เสมสิกขาลัย" เป็นเจ้าภาพจัดงาน โดยคนไทยได้รับเกียรตินั่งในอุโบสถหลักของวัด เพื่อรับฟังธรรมจากพระองค์อย่างใกล้ชิดค่ะ ผู้คนอีกหลายพันคน พระสงฆ์ ภิกษุณี กระจายนั่งฟังกันอยู่รอบบริเวณวัดอย่างหนาแน่น ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง บางคนต้องมาจองที่กันไว้ข้ามคืน เพราะไม่อยากพลาดที่จะได้รับฟังเสียงของพระองค์อย่างชัดๆ

หลังจากทรงบรรยายธรรมนช่วงเช้า ไทยพีบีเอส ได้โอกาสสัมภาษณ์พิเศษพระองค์ ที่ห้องพำนัก ณ วัดนัมเกล

ช่วงที่พระองค์ทรงเริ่มต้อนรับคนไทยในการบรรยายธรรม ตรัสว่าศาสนาพุทธของไทยและของธิเบตคล้ายคลึงกันมาก ดิฉันเลยขอให้องค์ดาไล ลามะ ขยายความในช่วงสัมภาษณ์ว่าจะนำศาสนาไปประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองอย่างไร

20.3.11

เมื่อได้สัมภาษณ์ "องค์ดาไล ลามะ"



ภารกิจครั้งสำคัญในชีวิตความเป็นนักข่าวของดิฉันได้ลุล่วงไปแล้ว กับการสัมภาษณ์พิเศษ "องค์ดาไล ลามะ ที่ 14" ผู้นำทางจิตวิญญาณของคนธิเบต ณ ที่พำนักของท่าน วัดนัมเกล ธรรมศาลา ประเทศอินเดีย การสัมภาษณ์องค์ดาไล ลามะ หรือพระนามเดิมว่า Tenzin Gyatso เป็นครั้งที่ตื่นเต้นและปลาบปลื้มมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตก็ว่าได้ กับการได้พบผู้นำทางจิตวิญญาณสูงสุดของคนธิเบต ผู้เป็นศูนย์รวมทางจิตใจของคนธิเบตทั้งในธิเบตและคนธิเบตพลัดถิ่น และผู้จุดประกายเรื่องการฝึกฝนความเมตตา..ให้กับผู้คนทั่วโลก

ดีใจในฐานะคนข่าว กับการสัมภาษณ์ที่โอกาสมิได้เกิดขึ้นง่ายๆ
ปลื้มใจในฐานะ ผู้ติดตามผลงานคำสอนทางจิตวิญญาณของท่านมาหลายปี และได้พบกับพระองค์จริง ตัวจริง เสียงจริง

ห้วงเวลาที่ได้เข้าเฝ้าพระองค์ในสัปดาห์ที่แล้ว (วันที่ 14 มีนาคม 2554) เป็นจังหวะเดียวกับที่กำลังเกิดคำถามมากมายกับอนาคตของคนธิเบต ราว 6 ล้านคน รวมทั้งคนธิเบตที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกกว่า 1.5 ล้านคน ว่าจากนี้ไปจะเดินหน้าอย่างไรกับการต่อสู้ทางการเมือง เมื่อองค์ดาไล ลามะ ทรงประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่าจะไม่ทรงเป็นประมุขทางการเมืองอีกต่อไป จะขอคงบทบาทในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณเท่านั้น

ตลอดเวลาของการสัมภาษณ์ที่ได้สอบถามจากท่านตรงๆหลายคำถาม พระองค์ทรงย้ำถึงความตั้งใจที่จะถอนตัวทางการเมืองอย่างจริงจัง และดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ (ณ นาทีที่เขียนอยู่นี้ สส.ในรัฐสภาธิเบตพลัดถิ่นยังไม่ยอมอนุมัติการถอนตัวของท่าน มีเพียงแต่คณะรัฐมนตรีที่เปิดทางแล้ว)องค์ดาไลลามะ ตรัสว่า ถึงเวลาแล้วที่สามัญชนจะต้องเข้ามาบริหารการเมืองไปตามครรลองของประชาธิปไตย "นี่อาจจะเป็นความเห็นแก่ตัวของเรา แต่เราต้องการทำงานด้านจิตวิญญาณ ส่งเสริมคุณค่าความเป็นมนุษย์ และสอดคล้องของชีวิตกับศาสนา"

เหนือสิ่งอื่นใดพระองค์ตรัสว่า การตัดสินใจเช่นนี้เพื่อผลประโยชน์ของคนธิเบตเป็นหลัก...แต่ทรงอดไม่ได้ที่จะแย้มพรายว่า การประกาศแนวทางของพระองค์เช่นนี้น่าจะส่งผลดีกับการต่อรองกับจีนด้วย ความหมายของความต้องการให้ธิเบตเป็นเขตปกครองพิเศษ "autonomy" ของจีนคืออะไร นอกจากอนาคตธิเบต พระองค์ทรงคุยเรื่องหลักศาสนากับการแก้ปัญหาการเมือง การจุติกลับมาเกิด...เป็นผู้หญิง? และทรงเอ่ยถึงพันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี่ ผู้นำลิเบีย และสถาบัน "ดาไล ลามะ"

พบกับคำตอบเหล่านี้ในรายการที่นี่ทีวีไทย และช่วงตอบโจทย์ กับการสัมภาษณ์ "องค์ดาไล ลามะ ที่ 14" ในวัย 75 ย่าง 76 ปี ผู้ทรงเต็มไปด้วยพลังและชีวิตชีวา และจะมีรายงานพิเศษทั้งคนธิเบตรุ่นใหม่ การต่อสู้ทางการเมือง ผู้คนกับพระสงฆ์ที่ธรรมศาลา และคนธิเบตพลัดถิ่นกับ "ความภูมิใจ" ในการรักษาทุกสิ่งที่เป็นธิเบต

ภาพข้างบน บันทึกหลังการสัมภาษณ์กับองค์ดาไล ลามะ พร้อมด้วยคุณภานุมาศ เจนกิจวัฒนะ พี่อู๊ด ช่างภาพมือฉมังของไทยพีบีเอส ที่บุกลุยเต็มที่กับงานนี้ค่ะ ...พอสัมภาษณ์เสร็จดพระองค์ทรงจับมือกับดิฉันและพี่อู๊ด...รู้สึกได้ถึงความเมตตากับนาทีนั้นที่ท่านให้เต็ม 100 เปอร์เซนต์

28.1.11

blog tv: สัมภาษณ์ Hans Peter Kabul รองประธานศาลอาญาระหว่างประเทศ



blog tv: ฟังกันชัดๆ คำอธิบายจากผู้พิพากษา Hans Peter Kaul, Vice President, International Criminal Court (ICC)รองประธานศาลอาญาระหว่างประเทศ เรื่องข้อเรียกร้องของ นปช ให้สอบสวนเหตุการณ์จลาจลในไทยเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 90 คน ผู้พิพากษาคาอูล บอกทำไม่ได้ เหตุผลสำคัญคือแม้ไทยจะลงนามในสนธิสัญญากรุงโรม แต่ยังไม่ได้ลงสัตยาบัน ฉะนั้นกลไกของ ICC ไม่สามารถนำมาใช้ได้ในประเทศไทย

23.1.11

"ฉายเดี่ยว" นายกฯ ยืนยันแนวทางไทยเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา

ออกอากาศไปแล้ว 37 นาทีเต็ม เมื่อเวลา 20.30 น. คืนวันที่ 23 มกราคม (หลังจากคนไทย 5 คน เดินทางถึงประเทศไทยเมื่อวานนี้) นายกฯ บอกเป็นโอกาสที่ดีที่จะอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นในวันที่ 29 ธันวาคมปีที่แล้ว ที่คนไทย 7 คนถูกจับ
1. ที่มาคืออะไร
2. กระทบต่ออธิปไตยของเขตแดน ของประเทศหรือไม่
3. จากนี้ไปจะแก้ปัญหาของ 2 คนไทยที่เหลือ ปัญหาเขตแดน และ พรมแดนอย่างไร
นายกฯอภิสิทธิ์ เริ่มด้วยการอธิบายว่าปัญหาเขตแดน ไทย-กัมพูชา อ่อนไหว สลับซับซ้อนมาหลายสิบปี เพราะมีการสู้รบ มีสงคราม หลายสิบปี เกี่ยวข้องกับสนธิสัญญาและการเปลี่ยนแปลง หลายฝ่ายอาจจะเข้าใจไม่ตรงกันว่าสภาพการณ์เป็นอย่างไร สภาพพื้นที่ไทยกัมพูชา แต่ละจุด ไม่เหมือนกันด้วย ก่อนหน้านี้ วิพากษ์มากบริเวณปราสาทพระวิหาร ขณะที่ไทยยึดสันปันน้ำ ส่วนฝ่ายกัมพูชายึดแผนที่ 1: 200,0000 แต่บริเวณพื้นที่ปราสาทพระวิหาร แตกต่างจากที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว (บริเวณที่ถูกจับ)

เหตุการณ์ 29 ธันวาคม เกิดขึ้นได้อย่างไร โดยเฉพาะกับคุณพนิช วิกิตเศรษฐ์ สส ในสังกัดของรัฐบาล
นายกฯ เล่าว่าตั้งแต่เกิดปัญหาบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ก็เห็นแล้วว่าจะเกิดความตึงเครียดขึ้นกับกลุ่มพันธมิตร และ แนวปฏิบัติในชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้พี่น้องบริเวณชายแดนมีปัญหาเรื่องปากท้อง ส.ส. พนิช วิกิตเศรษฐ์ จึงอาสาลงพื้นที่ และถือเป็นหน้าที่ของ สส อยู่แล้วที่ต้องรับฟังคนทุกกลุ่ม คุณพนิช ประสานงาน และบอกว่าหนึ่งในประเด็นที่ติดใจคือ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พี่น้องเดือดร้อนเพราะที่ดินของตนเอง เข้าไปทำกินไม่ได้ ถ้าไปไม่ได้ก็จะเท่ากับสูญเสียอธิปไตยไป หนึ่งวันก่อนไป คุณพนิชบอกจะไปลงพื้นที่ที่จังหวัดปราจีนบุรี ผมบอกว่าไปลงพื้นที่ชายแดนได้ แต่คุณพนิช บอกว่าไปแล้วต้องประสานงานกับ ตำรวจตระเวณชายแดนที่จะลงพื้นที่ก่อนที่จะเข้าไป
แต่ความเป็นจริงก็คือวันที่ 29 ธันวาคม ได้รับทราบข่าว ก็เมื่อคนไทยทั้ง 7 คนถูกจับกุมแล้ว ขอยืนยันว่าคนไทยทั้ง 7 คน ไม่ได้มีเจตนาอะไร นอกจากดูปัญหาของคนในพื้นที่

นายกฯ แสดงภาพถ่ายบริเวณบ้านหนองจาน และอธิบายว่าบริเวณชายแดนเกิดการคร่อมกันไปมาระหว่างพี่น้องไทย-กัมพูชา มีมากกว่า 10 จุด เหตุการณ์ในวันนั้น บุคคลทั้ง 7 นั่งรถไปตามถนนเศรีเพ็ญ และเมื่อลงจากรถแล้วก็ได้ถ่ายวีดีโอ (แสดงไปตามเส้นประตามภาพ…วีดีโอความยาว 23 นาที )

หลังจากถูกจับวันที่ 29 ธันวาคม
วันที่ 30 ธันวาคม นายกฯเรียกประชุม เย็นวันที่ 30 ธันวาคม รมว.กษิต เดินทางไปกัมพูชา กัมพูชาอ้างว่ากลุ่มบุคคลทั้ง 7 เข้าไปในเขตแดนกัมพูชาอย่างชัดเจน วีดีโอที่ได้มาจากกัมพูชาเพื่อยืนยันว่าเข้าไปเขตแดนของกัมพูชาจริง
ในเบื้องต้นกัมพูชา อ้างว่าได้จับกุมบริเวณพื้นที่สีแดง ที่ทางเข้าเป็นวัด แต่เราไม่แน่ใจ และถือว่าเราได้วีดีโอมาแล้ว ถ้าจะถูกจับกุมก็น่าจะเป็นจุดสุดท้ายที่ปรากฎในวีดีโอ ซึ่งอยู่ระหว่างจุดสีน้ำเงินและสีแดง หลังจากนั้นส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปในพื้นที่ค่ำ 31 ธันวาคม เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไป พาเจ้าหน้าที่ไปที่จุดสีแดง และบอกว่าเป็นเขตแดนของกัมพูชา เจ้าหน้าที่ขอย้อนกลับไปที่จุดสีน้ำเงิน จากวีดีโอ และภาพที่เห็น เมื่อวัดพิกัดจุดสีน้ำเงินและสีแดง ปรากฏว่าอยู่ฝั่งนี้….
นายกฯ บอกจุดที่เกิดไม่ได้ไปอยู่ฝั่งไทยหรือกัมพูชา แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมถึงปฏิบัติเช่นนี้ เมื่อวัดพิกัดแล้ว ก็ได้ส่งหนังสือไปกัมพูชา บอกว่าหลังจากตรวจสอบแล้ว พบว่าจุดที่ถูกจับเป็นพิกัดที่อยู่ฝั่งขวา ของเส้น
“เราไม่ได้บอกว่าจุดที่คนไทย 7 คนถูกจับเป็นเขตแดนของกัมพูชา” นายกฯบอก
ประเด็นการที่ศาลกัมพูชาตัดสินเช่นนี้ เท่ากับยอมรับหรือไม่ว่าบุคคลเหล่านี้ขณะที่ถูกจับอยู่ในเขตแดนกัมพูชา
นายกฯ ชี้แจงว่าการตัดสินของศาลภายในประเทศใด ไม่มีผลที่จะมาชี้เรื่องเขตแดน การผูกพันจะผูกพันเฉพาะคู่ความ ไม่มีตรงไหนที่ไทยจะยอมรับการตัดสินของศาลกัมพูชา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเขตแดน เป็นแนวปฏิบัติตามแนวชายแดนพูดกันอย่างเปิดอก ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็จะไม่พอใจ นายกฯยืนยันว่า “เพราะมี MOU 2543 จะไม่มีผลผูกพันต่อเรื่องเขตแดน แต่การแก้ปัญหาชายแดนจะขึ้นอยู่กับ MOU และ JBC”
ส่วนกรณีคนไทย 2 คนที่ยังถูกจับ ต้องหารือกับทั้งสอง และทนายความ
เรื่องของเขตแดน นายกฯบอกว่าให้มีการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ที่บุคคลเหล่านี้ (คนกัมพูชา) อ้างสิทธิ์ในการครอบครองอย่างต่อเนื่อง ต้องมีการประสานงานกันเพื่อชี้แนวกันให้ชัด เพื่อกำหนดเส้นเขตแดนระหว่างประเทศ
ก่อนปิดท้าย นายกฯ บอกว่า “รัฐบาลยืนยันที่จะรักษาผลประโยชน์ของคนไทย ประเทศไทย รักษาอธิปไตย รักษาดินแดน การแก้ปัญหาเขตแดนต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน คำถามคือแนวทางการแก้ปัญหาเราจะใช้วิธีการใด”

“มีข้อเสนอให้ยกเลิก MOU 2543 ผมอยากถามว่าถ้ายกเลิกจะเกิดอะไรขึ้น MOU43 บอกว่าที่ครอบครองกันอยู่ไม่อาจนำไปอ้างกรรมสิทธิ์เป็นดินแดนของฝ่ายนั้นได้ ถ้า MOU 43 ถูกยกเลิกอะไรจะเกิดขึ้น คำตอบก็คือว่าชุมชนที่ครอบครองมานานก็จะอ้างว่าตนอยู่มานานแล้ว ได้ครอบครองกันมากว่า 30 ปีแล้ว ส่วนฝ่ายไทยก็จะบอกว่าไม่ใช่ เราจะยึดถือสิ่งทีเป็นสองหลักเขตลากเส้น แล้วก็จะไม่มีข้อตกลงในทางกฎหมาย ก็จะเหลือเรื่องเดียวก็คือการใช้กำลังผลักใสกัน ไม่ใช่จุดนี้จุดเดียว แต่จะเป็นหลายจุดที่จะเกิดขึ้น ในทางปฏิบัติที่ผ่านมา เราก็พยายามทำอย่างรัดกุมมากที่สุด”
รัฐบาลจะดูแนวทางปฏิบัติ และจะทำผ่านแนวทางการเจรจาต่อไป นายกฯบอก
แนวทางเรื่องเขตแดนจะเดินหน้าตาม MOU 43 ต่อไป “พี่น้องคลางแคลงใจว่ารัฐบาลมีผลประโยชน์อยู่ ผมขอยืนยัน 100 เปอร์เซ็นต์ ผมและรัฐบาลไม่มีผลประโยชน์อื่นใด ผมสำนึกว่ารัฐบาลต้องดูแลผลประโยชน์ของคนไทยและประเทศไทย ไม่มีความจำเป็นที่คนไทยจะทะเลาะกันเอง ขอให้คุยกันด้วยเหตุด้วยผล ผมยินดีรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างและยินดีทำงานร่วมกับพี่น้องคนไทยทุกคนครับ”

เป็นการอธิบายความเป็นมาเป็นไปเหตุการณ์คนไทย 7 คนถูกจับ แบบนายกฯรัฐมนตรี “ฉายเดี่ยว” 37 นาทีเต็ม ซึ่งไม่แน่ใจว่าผู้คนที่ติดตามรับฟังจะได้รับความกระจ่างมากขึ้นหรือไม่ กรณีจุดที่คนไทยถูกจับ แต่สาระสำคัญคือคำยืนยันของนายกรัฐมนตรีถึงความสำคัญของ MOU2543 และการยืนยันแนวทางการเจรจาเรื่องเขตแดนกับกัมพูชาต่อไปผ่านคณะกรรมาธิการร่วมชายแดน หรือ JBC และยืนยันด้วยว่าผลการตัดสินภายในประเทศของศาลกัมพูชา จะไม่มีผลผูกพันกับเรื่องเขตแดนของสองประเทศ

กัมพูชาจะเข้าใจเหมือนที่ไทยเข้าใจหรือไม่ นายกรัฐมนตรี “ฮุน เซน” ของกัมพูชา จะเห็นตรงกันกับนายกฯอภิสิทธิ์หรือไม่ ?!?