9 ตุลาคม 2556
Washington
DC
สามนัดสำหรับวันนี้ค่ะ
นัดแรกที่ Aspen
Institute http://www.aspeninstitute.org/
องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร
ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ 1950 เพื่อส่งเสริมผู้นำ และการพูดคุยเพื่อสรรค์สร้างการศึกษา
และการพัฒนาวางโนยบายต่างๆเพื่อสังคม เมื่อเอ่ยชื่อ Aspen
หลายท่านคงนึกถึงคุณ Walter Isaacson
นักข่าว นักเขียนชื่อดังที่เขียนหนังสือประวัติ “Steve
Jobs” ที่ผู้คนติดใจกันทั้งบ้านทั้งเมือง
พบคุณ Amy Garmer จาก Aspen Institute |
วันนี้พบกับคุณ Amy
Korzikc Garmer ผู้อำนวยการโครงการสื่อ การสื่อสารและสังคม งานที่คุณเอมี่กำลังบุกเบิกอย่างหนักก็คือการพัฒนาห้องสมุดสาธารณะในสหรัฐ
และกระตุ้นให้บรรณารักษณ์ทำงานให้ทันสมัยมากขึ้นในโลกยุคสื่อดิจิตอล
ที่จะมองห้องสมุดหลุดกรอบจากโลกภายนอกต่อไปไม่ได้แล้ว และเห็นว่าในยุคที่การสื่อสารผ่านสื่อสังคมกำลังเติบโต
ผู้สูงอายุจำนวนมากในสหรัฐ ไม่ต่ำกว่า 68%
ของผู้สูงอายุโดยรวมขาดทักษะที่จะใช้อินเตอร์เนต และสื่อสังคม ซึ่งจะยิ่งถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
โครงการของสถาบัน Aspen กำลังมุ่งพัฒนาห้องสมุดสาธารณะ
เพื่อให้คนในท้องถิ่นเข้าถึงมากขึ้น และโครงการแบบนี้จะเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสาร
และแหล่งค้นคว้าให้ผู้สื่อข่าวในระดับท้องถิ่นด้วย โอกาสที่จะสร้างงาน
สร้างความสัมพันธ์ในชุมชนจะเกิดขึ้นได้ผ่านห้องสมุดสาธารณะ
แนวคิดน่าสนใจมาก เพราะว่าบรรณารักษ์ยุคปัจจุบันจะไม่สามารถทำงานกับหนังสือที่จับต้องได้
อยู่กับหิ้งหนังสือเพียงอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องเร่งปรับตัว และพัฒนาทักษะในการคัดกรองข้อมูล
จัดเรียงหมวดหมู่ และสื่อสารให้ผู้ใช้ห้องสมุดเข้าใจความหลากหลาย และ “คว้า” ข้อมูลที่มากมายมาให้ตรงความต้องการของผู้ใช้แต่ละคนมากที่สุด
โครงการนี้เตรียมที่จะเชื่อมผู้สื่อข่าวในระดับพื้นที่
ระดับท้องถิ่นให้ได้มีพื้นที่ทำงานมากขึ้นเช่นกัน
ทุกวันนี้สถานีโทรทัศน์เครือข่ายระดับท้องถิ่นในสหรัฐล้มหายตายจากไปเยอะ
ผู้สื่อข่าวระดับท้องถิ่นต้องปรับตัวอย่างมากเพื่อสร้างงานให้กับตนเอง
และอาจจะช่วยเสริมหน้าที่สร้างความสัมพันธ์กับคนในสังคมได้มากขึ้น
โดยรวมคือทั้งบรรณารักษ์ ทั้งผู้สื่อข่าว
ซึ่งเป็นอาชีพที่ต้องทำงานกับข่าวสารข้อมูลต้องเร่งปรับตัว
หันมาเอาใจใส่กับชุมชนมากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องเร่งสร้างเครือข่าย
สร้างพันธมิตรกับคนต่างอาชีพ ต่างองค์กรมากขึ้นเช่นกัน แนวทางการทำงานเปลี่ยนไป
จะอยู่เฉพาะในอาชีพตน และมองเฉพาะงานของตนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
คำถามใหญ่คือนักข่าวจะ “คงความเป็นนักข่าว
ในโลกยุคสังคมเครือข่ายอย่างไร” อย่างที่เราทราบกันดีทุกวันนี้ผู้คนรายงานข่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่าง facebook และ twitter กันตลอดเวลา
น่าคิดว่านักข่าวจะรักษาความเป็น “มืออาชีพ” อย่างไร
คำถามนี้ที่จริงคุยกันมานานมากในช่วง 2-3 ปีหลัง
มหาวิทยาลัยต่างที่สอนสาขานิเทศศาสตร์ การสื่อสารมวลชน
และคนทำสื่อคุยกันไม่น้อยเรื่องมาตรฐานวิชาชีพในโลกยุคที่ทุกคนเป็นนักข่าวได้ คำตอบคงไม่ได้ตายตัว แต่ที่พอจะมองเห็นคือการสร้าง “พันธมิตร” ในระดับหน่วยงาน
ระดับองค์กรมากขึ้น โดยคุณเอมี่ ระบุว่าในช่วง 8-10
ปีที่ผ่านมาได้เห็นการปรับตัวในทิศทางนี้ชัดเจนขึ้นมาก
สื่อใหญ่ที่มองว่าอยู่ได้ตัวคนเดียวจะไม่ยอมทำงานร่วมกับใคร เริ่มรู้ตัวแล้วว่าเป็นอย่างนั้นไม่ได้แล้ว
ตอนหลังจะได้เห็นความร่วมมือในลักษณะพันธมิตรระหว่างต่างสื่อ ต่างค่ายมากขึ้น
และรูปแบบการแข่งขันเปลี่ยนไปเช่นกัน และที่สำคัญต้องไม่ลืมที่จะดึงพลเมือง หรือสร้าง “civic engagement”
ในการรับรู้ข่าวสาร เพื่อสรรค์สร้างการเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน นักข่าว บรรณารักษ์
ต้องปรับตัว คนรับสื่อที่กลายเป็นคนส่งสื่อก็ต้องปรับตัวเช่นเดียวกัน เป้าหมายคือพัฒนาทักษะ
กลั่นกรองความคิด เพื่อให้คนมีความรู้มากขึ้น รู้ทัน ปรับตัว
และอยู่รอดในโลกปัจจุบันได้เท่าทันขึ้น
นัดที่สองห่างกันประมาณเดิน 8 นาที มาที่สำนักงาน Center for Strategic and International
Studies (CSIS) พบกับคุณ Ernie
Bower นักคิดที่ศึกษาเรื่องเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาถึง 30 ปี
CSIS http://csis.org/ เป็นแหล่งนักคิด
และติดตามนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐ
เป็นเวปที่ฉันเข้าไปติดตามอ่านบทความอยู่บ่อยๆ
และมักจะมีบทวิเคราะห์เกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง
คุณ Ernie Bower, Center for Strategic and International Studies (CSIS) |
คุณเออร์นี่ ระบุว่าน่าเสียดายอย่างมากที่ประธานาธิบดีบารัก โอบามา
ต้องยกเลิกการไปเยือนเอเชีย เพราะเจอปัญหา Governme Shutdown ในบ้าน
และเป็นที่น่ากังวลว่าบทบาทของสหรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะแผ่วลงมากจากนี้ไป
และอาจจะยิ่งเปิดทางให้จีน เร่งขับเคลื่อนอย่างเร็วมากขึ้น
แต่คุณเออร์นี่ระบุว่าสหรัฐไม่มีทางที่จะเหินห่างจากเอเชีย-แปซิฟิค
เพราะว่าโอบามาคือ
“Pacific President” ตัวจริง ที่เชื่อจริงในเรื่องความสำคัญของภูมิภาค
ที่น่าเสียดายคือการเดินทางไปเยือนเอเชียหลายครั้งต้องชะงักไปเพราะปัญหาภายในบ้าน
โดยรวมเป็นครั้งที่สามแล้ว ที่ต้องยกเลิกไปเยือนอินโดนีเซียกะทันหัน คำถามที่จะเกิดขึ้นจากนี้ไปในหมู่ผู้นำเอเชียแปซิฟิค
ซึ่งรวมถึงอาเซียนด้วยคือ
สหรัฐจะคงบทบาทนำในเอเชียแปซิฟิคได้จริงอย่างที่ประกาศไว้หรือว่าต้องการเป็น “Pivot of Asia”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าจีนและสหรัฐ ต่างดูเชิงกันอย่างมากในภูมิภาคนี้
จุดเปลี่ยนสำคัญคือเมื่อปี 2009 เมื่อจีนลาก 9 จุด ในน่านน้ำบริเวณทะเลจีนใต้เพื่ออ้างกรรมสิทธิ์เหนือน่านน้ำ
และกำลังเป็นข้อพิพาทกันอยู่ในขณะนี้ เรื่องนี้สร้างความกังวลให้สหรัฐไม่น้อย
ขณะที่สหรัฐเจอศึกหนักในบ้าน เรื่องการทหารในอัฟกานิสถาน และอิรัก
ก็หมดเปลืองไปเยอะ ทำให้สหรัฐเหมือนติดหล่มในบ้านตัวเอง ยิ่งกำลังเจอปัญหา Government Shutdown ยิ่งชัดมากขึ้นว่าปัญหาการเมืองภายในไม่ได้ยกระดับสถานะของสหรัฐในระดับระหว่างประเทศ
คุณเออร์นี่ยืนยันว่าสหรัฐไม่ได้กลัวว่า Asean จะไปรักกับจีนมากเกินไป
แต่เป็นความรู้สึกเป็นห่วงมากกว่า เพราะว่าการเมือง ความมั่นคง
และเศรษฐกิจสัมพันธ์กันอย่างชัดเจน
สถานการณ์ในไทยยังน่าเป็นห่วงอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา
และน่าเป็นห่วงมากเมื่อเทียบกับอาเซียนโดยรวม การเมืองไทยกำลังเป็นปัจจัยสำคัญที่ต่างชาติติดตามอย่างใกล้ชิด
และยังไม่เห็นทางออกในอนาคตอันใกล้ว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในประเทศจะมีทางออกอย่างไร
คุณเออร์นี่ยอมรับว่าความสัมพันธ์ไทยกับสหรัฐ แม้จะครบ 180 ปี แต่ดูเหมือนจืดๆ
ชืดๆ ไม่มีพลัง ไม่มีชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง
ปัญหาใหญ่อยู่ที่การเมืองในประเทศของสหรัฐที่เจ้าของบ้านคงกังวลไม่น้อยเช่นกัน
และจะว่าไปสหรัฐ และไทยอาจจะคล้ายคลึงกันมากในจุดนี้
ที่การเมืองในบ้านกำลังฉุดรั้งประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ
และยังไม่เห็นว่าจะข้ามพ้นอย่างไร
คุณ Chellie Pingree สมาชิกสภาคองเกรสจาก "Maine" |
นัดที่สามกับ ส.ส.หญิงสหรัฐ จาก “Maine” คุณ Chellie
Pingree
มีเวลาคุยกับ EF
Fellows ไม่นานนัก แต่พอจะได้มีเวลาอธิบายว่า ส.ส.สหรัฐ แต่ลคะจะได้รับงบประมาณ 1
ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากสภาคองเกรส เพื่อนำไปทำกิจกรรมการเมือง
จ้างบุคลากรทำแคมเปญทางการเมือง
เป็นงบประมาณที่อาจจะแตกต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับพื้นที่ ส.ส.
และจะต้องคุมงบประมาณให้อยู่ในวงนี้ ส.ส.แต่ละคนจ้างพนักงานกี่คนก็ได้
แต่สูงสุดได้ 18 คน และจะมีสำนักงานกี่แห่งก็ได้ตามกำลังที่จะจัดการได้
ขณะที่เงินทุนจากพรรคจะได้ในช่วงการเลือกตั้ง
ปัญหาเรื่อง
Government Shutdown บอกว่าน่าปวดหัวมาก และยอมรับตรงๆว่าเป็นเกมการเมืองที่ไม่มีฝ่ายไหนยอมอ่อนข้อให้แก่กัน
จึงยังเป็นปัญหาอยู่ และ แม้ ส.ส. อยากจะให้จบ
การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับผู้บริหารระดับสูงของพรรค สรุปสั้นๆบอกว่าตอนนี้คือความขัดแย้งระหว่าง “ประธานาธิบดีโอบามา
และประธานสภาคองเกรส ซึ่งอยู่ต่างพรรคกัน”
ยังไม่แน่ใจว่าจะยืดเยื้อ คุยกันไม่รู้เรื่องจนสหรัฐต้องผิดชำระหนี้ในวันที่
17 ตุลาคมหรือไม่!
ส.ส. ยังบอกว่าไม่มีทางออก คนมะกันบอกว่าหงุดหงิดมากแล้วกับเกมการเมืองเช่นนี้ //
No comments:
Post a Comment