1.12.08

Give Peace a Chance: ให้โอกาสสันติภาพ

ห้าปีก่อนถ้ามีใครมาบอก หรือมาคาดเดา ว่าในปี 2008 จะเกิดเหตุวุ่นวายทางการเมืองในประเทศไทย และอาจจะต้องถึงขั้นใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกัน ดิฉันก็คงจะคิดว่าเป็นไปไม่ได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ทำให้ได้คิดว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นได้และเป็นไปได้จริงๆค่ะ
ตอนที่ดิฉันเคยเดินประท้วงร่วมกับชาวกรุงลอนดอน และชาวนานาประเทศ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ปี 2003 เมื่อ 5 ปีก่อน ตอนนั้นเป็นช่วงที่ชาวโลกตื่นตัวมากกับการทำสงครามของสหรัฐในอิรัก อดีตนายกรัฐมนตรีแบลร์ ของอังกฤษ ให้ความร่วมมือกับประธานาธิบดีบุชของสหรัฐคนปัจจุบัน (ที่กำลังใกล้จะหมดวาระ) พาประเทศและกองกำลังของทหารนานาชาติ เข้าไปบุกอิรัก โดยอ้างว่าเพื่อค้นหาอาวุธทำลายล้างสูง (Weapon of Mass Destruction)
กระแสจงเกลียดจงชังถูกปลุกเร้าสูงมากในยุคนั้น โดยเฉพาะต่อชาวมุสลิม โดยที่ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ แต่การที่รัฐบาลสหรัฐวาดภาพให้ชาวมุสลิม เป็นกลุ่มที่โจมตีสหรัฐ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2001 ทำให้พี่น้องมุสลิมจำนวนมากตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปอย่างช่วยไม่ได้

เหตุที่ต้องออกไปประท้วงกันตามท้องถนนมากมายขนาดนั้น เพราะคนไม่ต้องการเห็นการทำสงครามอีกแล้ว ไม่ต้องการเห็นการสูญเสีย เลือดเนื้อ และชีวิต เพราะสงครามไม่ได้สร้างคุณงามความดีให้กับใครเลย มีแต่ความสูญเสีย ไม่แต่เฉพาะคนที่ต้องเสียชีวิตเท่านั้น ญาติ พี่น้อง ครอบครัว ก็ต้องรับความเสียหายทั้งร่างกาย จิตใจ และ อารมณ์ตามไปด้วย

เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในไทยตอนนี้ช่างน่าสะท้อนใจเหลือเกิน ว่าคนไทยที่ได้ชื่อว่าเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แก้ปัญหาอย่างสันติ ไม่เผชิญหน้ากัน กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว (อย่างน้องก็สำหรับกลุ่มที่พยายามเอาชนะกันอยู่)

จนถึงขณะนี้เชื่อมั่นว่ายังไม่สายเกินไปค่ะ ที่ทุกคนจะร่วมกันหยุดยั้งไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง ไม่ต้องรอให้มีคนบาดเจ็บ ล้มตาย ไปนับร้อย นับพัน แล้วค่อยมาพูดถึงการเจรจาแก้ปัญหาด้วยสันติภาพ

เริ่มตอนนี้แหละค่ะ ช่วยกันคิดก่อนว่าความรุนแรงจะต้องไม่เกิด แล้วทำในสิ่งที่ทำได้เพื่อช่วยกันไม่ให้เกิด ดิฉันเชื่อว่าถ้าเรามั่นใจก่อนว่าสันติภาพจะเกิดได้ แทนที่จะไปปลุกเร้าเพื่อให้ย่อยยับกันไปข้างหนึ่ง เสียงเพียงหนึ่งเสียงจะกลายเป็นหลายเสียงเพื่อกระจายออกไปให้ดังๆว่า เราต้องการการแก้ปัญหาด้วยสันติภาพ ดีกว่าตะโกนว่ากระหายเลือดเป็นไหนๆ

7 comments:

Unknown said...

ผมไม่เชื่อคุณและทีมงาน ไทยพีบีเอส มีความต้องการสันติภาพ รายการ "ให้โอกาสสันติภาพ" ของคุณเมื่อวานนี้ยังพยายามใช้ภาพเด็กพันธมิตรมาสื่อถึงความบริสุทธิ์ของผู้ชุมนุมฝ่ายพันธมิตร แล้วพวกคุณมีอะไรน่าเชื่อถือ
พวกคุณให้ท้าย พันธมิตรฯ มาตลอด เช่น รายการตอบโจทย์ ก็พยายามปิดปากฝ่ายวิจารณ์พันธมิตร เช่น อ.ธเนศน์ เจริญเมือง
ผมคิดว่า การเปิดไฟเขียวจาก สหรัฐและยุโรป ในการสลายการชุมนุม ทำให้พวกคุณต้องการสันติภาพ (ให้กับพันธมิตร) มากกว่า
รายการ "ให้โอกาสสันติภาพ" ยกเลิกเถอะเสียเวลาดูหนังของผม

Anonymous said...

คุณ Jul คิดว่าคุณคงเป็นนปก. ตั้งแต่กระดูกดำ หน้าตาอยากเกิดเป็นเหลี่ยม ตาตี่ มีพ่อค้ายา มีช่อง NBT ของตุณ ไปดูซะ ชิ้วๆๆๆ

Unknown said...

คุณไม่เปิดเผยตัว คุณควรโต้แย้งสิ่งที่ผมวิจารณ์ ไทยพีบีเอส ว่าผิดหรือถูกอย่างไร
คุณรู้จักเหตุผลหรือไม่ ถ้าคุณไม่มี เรามาด่ากันก็ได้
หรืออย่างวันนี้ พวกเขา คนที่อุปโลกตัวเองเป็น "ปัญญาสยาม" ที่ไร้ปัญญาหาทางออกภายใต้บริบทเสรีประชาธิปไตย ด้วยการเรียกร้องให้ทำรัฐประหาร ซึ่งนำมาออกเป็นประจำ ก็ย่อมสะท้อนว่า ผู้จัดรายการ คุณณํฐฐา และคุณกรุณา ก็เป็นพวกนิยมเผด็จการและรัฐประหารเท่า จะสามารถเข้าใจเป็นอื่นได้อย่างไร

Anonymous said...

ผมคิดว่า Tpbs เป็นส่วนผสมทางการเมืองที่มีความหลากหลายและกำลังเขย่าให้เข้ากันอย่างประณีตครับ..
ความแตกต่างหลากหลายมีทั้งในระดับนโยบายที่มี อ.จอห์น เป็นหลักอยู่ขั้วหนึ่ง กับอีกขั้วหนึ่งที่มีคุณกมล และหมอพลเดช แข็งขันอยู่...ส่วนในระดับปฏิบัติการทั้งส่วนบริหาร ระดับกลาง และระดับล่าง ก็มีส่วนที่เห็นต่างกันดังมีเรื่องเล่าว่าวันที่พันธมิตรโดนยิงถล่มที่หน้าสภา คนทำงานในออฟฟิสและหลังกล้องก็เผลอเฮอย่างสะใจ..เช่นเดียวกันวันที่ทักษิณ-พจมานโดนตัดสินติดคุก ก็มีคนในองค์กรนั้นกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจอยู่ไม่น้อย...คุณ Jul จึงต้องให้ความเป็นธรรมกับคนทำงานที่นั่น ซึ่งกำลังใช้ความพยายามปรับตัวและมุ่งเข็มทิศนำทางองค์กรสู่ความเป็นกลางตามวิชาชีพสื่ออย่างเต็มที่..
ผมไม่เห็นว่าพิธีกร อย่างคุณกรุณา หรือคุณณัฐฐา จะเอนเอียงเป็นฝ่ายเผด็จการแต่อย่างใด...โดยเฉพาะคุณณัฐฐา ทำหน้าที่ได้ดีแล้วครับ....
อย่างรายการตอบโจทย์นั้นตรงกันข้ามที่คุณ Jul กล่าวว่าให้ท้ายพันธมิตรนั้น ผมเองเคยตำหนิน้อง โปรดิวเซอร์ ว่าทำไมไม่เคยเชิญคนของพันธมิตรไปแสดงความเห็นหรือแม้เมื่อพันธมิตรถูกโจมตีก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้คนของพันธมิตรได้ชี้แจงโดยตรงเลย...ตรงวนี้เดิมพันได้เลยครับ เอาประวัติการสัมภาษณ์แขกของรายการตอบโจทย์มานับหัวดู มีคนของพันธมิตรกี่คน?เรื่องนี้พิสูจน์ได้ เป็นวิทยาศาสตร์ครับ ยืนยันได้ด้วยสถิติ มิใช่การกล่าวอ้างลอยๆ ครับ...
ผมว่าคุณใช้สติคิด และยอมรับความเป็นจริงสักหน่อยนะ....

Anonymous said...

You are what u eat.

Unknown said...

ผมใช้บรรทัดฐานจุดยืนประชาธิไตย บนหลักการอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย จึงต้องย้อนหลังไปที่ 19 กันยายน 2549 พันธมิตรฯ ที่สนับสนุนรัฐประหาร และบุคคลจำนวนมากที่ รายการนี้เชิญ ล้วนแล้วแต่ สมคบกับ คมช. อาทิ สัก กอแสงเรือง วิชา มหาคุณ (ท่านผู้นี้ไม่สามารถอบรมให้ลูกทำการฉ้อโกงได้ แล้วมีความน่าเชื่อถืออย่างไรในเรื่องความสุจริต) รวมถึง หมอพลเดช ที่ไปเรียกร้องให้ทหารทำรัฐประหาร แน่นอนย่อมขัดกับหลักการของผม
ผมอยากจะเห็นด้วยกับคุณคันธง สำหรับผู้จัดรายการแต่โดยรวมผมยังไม่อาจจะเข้าใจว่ารายการนี้เข้าไปสู่ความเป็นกลางอย่างไร
สำหรับคุณ Anonymous ในกรณีของ NBT ผมจะไปวิจารณ์กับช่องทางของ NBT และผมไม่วิจารณ์ Thai PBS บนช่องทางของ NBT แน่นอนผมคิดว่าการเห็นนาย ก. เลว แล้วบอกว่า นาย ข. ก็เลว แล้วต้องยอมรับความเลวของนาย ก. เพราะใครๆเขาก็ทำ อาจจะไม่ถูกต้อง

Anonymous said...

ขอแสดงความเห็นอีกนิดนะครับ...ด้วยความเคารพ...
ผมไม่อยากก้าวล่วงวิจารณญาณทางการเมืองของแต่ละท่านที่แสดงทัศนะส่วนตัวที่สะท้อนมุมมอง วิธีคิด ต่อเป้าหมายเดียวกันให้กลายป๋นเรื่องที่ต่างกัน...เช่น การยอมรับในระบอบประชาธิปไตยเหมือนกัน แต่บางท่านอาจจะมองว่า รัฐบาลทักษิณ มาจากการเลือกตั้ง ย่อมเป็นประชาธิปไตย...แต่บางท่านอาจเห็นต่างว่าแท้ที่จริงน่าจะเป็นเผด็จการทางรัฐสภาและที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้งนั้นก็เป็นการเลือกตั้งที่ทุจริต ซื้อเสียง ซื้อตัว สส. กระทมั่งซื้อยกเล้าหรือซื้อทั้งพรรค เพื่อผูกขาดอำนาจรัฐ แล้วใช้อำนาจรัฐนั้นไปฉ้อฉล โกงบ้านเมืองทุกรูปแบบ เพื่อแสวงประโยชน์หาเงินมาซื้ออำนาจสลับกันไปเป็นวงจรอุบาทย์ ก็ว่าได้...
ไม่เป็นไรความเห็นทางการเมืองต่างกันก็ไม่เป็นไร ค่อยศึกษาเรียนรู้กันไป ไม่ว่ากัน...
แต่ประเด็นที่ Comment สื่อทีวีไทย เรื่องความเป็นกลางนี่น่าสนใจ เพราะที่ผ่านมาคุณเทพชัย ไม่นำพาองค์กรโต้โคล่นลมอย่างสง่างามด้วยความมั่นใจในจุดยืนและวิจารณญาณของตนเอง แต่พยายามหลบซ่อนเลี้ยวซ้ายป่ายขวามั่วไปหมด เพื่อลดแรงเสียดทานจากทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้ขับเคี่ยวกันในทางการเมืองและส่งผลกระทบมายัง ทีวีไทย.ด้วยความคาดหวังว่าจะเชียร์ฝ่ายตน...หลายรายการ รวมทั้งรายการข่าวด้วยจึงกลีกเลี่ยงที่จะนำเสนอประเด็นทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมาโดยสะท้อนจุดยืนขององค์กร จึงกลายเป็นสูญญากาศในแง่ทัศนะทางการเมือง ที่เปิดพื้นที่ให้ฝ่ายปฏิบัติการหลายระดับนับจาก ผอ.ลงไปเลย ช่วงชิงใช้พื้นที่ซึ่งเป็นช่องว่างนั้นสอดแทรกทัศนะทางการเมืองส่วนตัวลงไป บางครั้งนักข่าวใส่ทัศนะสีเหลืองเข้มเข้ามาจากพื้นที่หรือจากภาคสนามโดยตรง บางทีรีไรเตอร์หรือโปรดิวเซอร์ช่วง ก็ใส่ทัศนะของตนแดงเถือกในเนื้อข่าวที่ส่งมาสีขาวจากพื้นที่ก็ได้ รวมทั้งการเชิญคนเข้ารายการหรือการมอบหมายจากหัวหน้าข่าวให้ไปสัมภาษณ์ใครในสกู๊ปข่าวแต่ละเรื่อง...ก็ว่ากันไปตามสีที่ตนยึดถือและซ่อนไว้ข้างใน และจะมาปรากฏในงานข่าวที่ดูแล้วเฟห็นว่าทัศนะทางการเมืองขององค์กรนี้แกว่งไปแกว่งมาตลอดเวลา เดี๋ยวซ้าน เดี๋ยวขวา หรือเดี๋ยวแดงเข้ม เดี๋ยก็เหลืองจ้า...ภาพรวมจึงสับสนปนเปไปหมด...
ที่ถูกคือองค์กรทีวีไทย ต้องมีจุดยืนของตนเองที่ความถูกต้อง เป็นธรรม อย่างมั่นคงแข็งขันและไม่ต้องเอียงหรือเอาใจฝ่ายใด ทั้งเขียว ทั้งเหลือง และแดง..
เมื่อมีข่าวที่คนในสังคมเห็นแตกต่างกัน ทีวีไทย.ก็สามารถรายงานจากแหล่งข้อมูลของทั้ง ๒ ฝ่ายให้รอบด้าน และรัดกุมที่สุด...พร้อมทั้งยืนยันในหลักการ นโยบายขององค์กร โดยผู้นำสามารถประกาศชัด ฯ ต่อสสาธารณะได้โดยเล่นบทบาทคล้าย BBC ยังไงครับ...
ฝากคุณณัฏฐา เรียนคุณเทพชัยด้วย...กล้าๆหน่อย...กล้าเป็นตัวของตัวเองครับ.