31.12.08

สวัสดีปี 2552


นับถอยหลังสู่วันใหม่ เดือนใหม่ ปีใหม่ 2552 กันแล้ว
มีความสุขกันมากๆนะคะ
พักกาย พักใจ พัก…ผ่อน กันให้เต็มที่ ก่อนเริ่มสัปดาห์ใหม่ค่ะ
อย่าลืมแวะมาติดตาม ที่นี่ ทีวีไทย กันต่อ
ทีมงานจะร่วมกันเฟ้นหารายงานในทุกแง่มุม
เพื่อค้นหาคำตอบ นำเสนอให้ท่านผู้ชมค่ะ

19.12.08

เวปฮอต แข่งขว้างเกือกใส่หน้าบุช


ไม่ว่าจะเหตุการณ์หนักหรือร้ายขนาดไหน คนหัวใสก็ไม่วายแปลงเป็นไอเดียสนุกๆ แถมยังขายไอเดียทำเงิน
ตอนนี้หนีไม่พ้นเวปไซต์ sockandawe ที่คนเขียนเกม Alex Tew นำมาจากความชอกช้ำของประธานาธิบดีบุช ที่ต้องหลบรองเท้าของผู้สื่อข่าวชาวอิรัก มันทาซาร์ อัลไซดี้ ขณะแถลงข่าวที่กรุงแบกแดด ของอิรัก เมื่อสุดสัปดาห์ทีผ่านมาค่ะ

หลายท่านคงจะคุ้นกับภาพข่าวจริงๆไปแล้ว

นาย Tew ผู้เชี่ยวชาญการเขียนเวปก็เลยเอามาแปลงเป็นเกมซะเลย

ตอนนี้ฮิตติดลมบนค่ะ เปิดตัวมาสามวันมีคนเข้าชมล้านกว่าคนแล้ว

หน้าผู้นำสหรัฐก็คงจะช้ำไปหมดแล้ว เพราะโดนรองเท้าเข้าที่หน้าไป 37 ล้านกว่าครั้งแล้วจนถึงขณะนี้

อารมณ์ขันก็แรงเชียวค่ะ

ผู้สื่อข่าวต้นเรื่องตัวจริง มันทาซาร์ อัลไซดี้ มีรายงานว่าได้เขียนจดหมายขอโทษสำหรับ shameful act หรือ การกระทำที่น่าละอาย ส่งถึงนายกรัฐมนตรีมาลิกี ของอิรักแล้ว

รายงานระบุว่ามันทาซาร์ ถูกตั้งข้อหาว่า รุกรานประธานาธิบดี และจะต้องถูกจำคุก 15 ปี

น้องชายเขาบอกว่าไม่เชื่อว่าพี่ชายจะยอมเขียนหนังสือขอโทษจริงๆ แต่ถ้าทำก็คงจะเป็นเพราะถูกกดดัน

รองเท้าเจ้ากรรมคู่นั้นถูกทำลายไปแล้ว เพราะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต้องตรวจสอบว่ามีระเบิดหรือไม่

เหตุการณ์นี้ทั้งนักข่าว และ ประธานาธิบดีบุช ก็คงจะไม่มีวันลืมค่ะ รวมถึงชาวอาหรับนับล้านคนที่ชื่นชมและเห็นมันทาซาร์ เป็นวีรบุรุษไปแล้ว

วันศูกร์ที่ 19 ธันวาคม อย่าลืมติตตามโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ค่ะ

15.12.08

นายกรัฐมนตรีคนที่ 27: อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ


นายกรัฐมนตรีของไทยคนที่ 27 ได้รับทราบกันแล้วนะคะว่า คือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
หลังจากการโหวดกันในสภา ของบรรดา สส คะแนนที่ออกมา สนับสนุนคุณอภิสิทธิ์ 235 เสียง ต่อ 198 เสียง ที่ให้พลตำรวจเอกประชา พรหมนอก

งานนี้เห็นท่าว่าจะไม่มีช่วงน้ำผึ้งพระจันทร์ทางการเมือง เพราะมีภาระหน้าที่ที่ต้องสะสางมากมาย
แค่แบ่งโควต้ารัฐมนตรีก็คงจะเป็นบททดสอบสำคัญแล้วละค่ะ สำหรับผู้นำคนใหม่คนนี้

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมในที่นี่ทีวีไทยคืนนี้นะคะ ถึงจุดอ่อน จุดแข็งของพรรคประชาธิปัตย์ และนโยบายการทำงานที่ผ่านมาของพรรคจะถูกใจคนในภูมิภาค และคนหาเช้ากินค่ำในเมืองหลวงหรือไม่ แล้วพรรคควรจะปรับทิศทางอย่างไร เพื่อให้ถูกใจชาวบ้าน

14.12.08

อภิสิทธิ์ หรือ ประชา


ทราบกันไปแล้วนะคะว่า ไม่มีการ "โฟนอิน" ของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ในการชุมนุมของกลุ่ม นปช หรือกลุ่มพลคนเสื้อแดง ในรายการความจริงวันนี้สัญจร เพียงแต่ได้เห็นภาพวีดีโอบางส่วนที่บันทึกไว้ล่วงหน้า
คุณทักษิณบอกว่าคุณเสนาะ เที่ยนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ขอไว้ว่าอย่าโทรศัพท์เข้ามาคุยสด เพื่อจะได้เสนอชื่อของพลตำรวจเอกประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นนายกรัฐมนตรี
จากนี้ไปจนถึงเวลา 9.30น วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม ก็คงจะเกิดความเคลื่อนไหวนอกสภาบ้าง แต่ผลจะชี้ชัดก็ต้องรอการโหวตกันในสภาแล้วละค่ะ ว่าที่การพูดคุยต่อรอง ที่ประกาศกันมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ จะลงเอยด้วยประการใด
ตอนนี้นอกจากจะเป็นศึกระหว่าง "แม่บ้าน" ของสองค่าย ก็คือทางคุณเสนาะ เทียนทอง และ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ จากพรรคประชาธิปัตย์แล้ว
"ว่าที่" นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ก็คงจะลุ้นๆกันอยู่ว่าจะได้เป็นหรือไม่
ณ นาทีนี้ก็เห็นแล้วนะคะว่าเป็นการขับเคี่ยวระหว่าง "หล่อใหญ่" และ "อินทรีย์อิสาน" หรือ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กับ พลตำรวจเอกประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพือแผ่นดิน
ก็ต้องติดตามการขับเคี่ยวกันในสภาแล้วละค่ะ ว่าจะลงเอยประการใด ระหว่างนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่อายุน้อยที่สุดด้วยวัย 44 ปี หรือ นายกรัฐมนตรีที่เป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ไม่ว่าจะเป็นใครภาระข้างหน้าที่ใหญ่หลวงกำลังรออยู่

5.12.08

สามสาวสามมุม กับบทบาทระดับโลก




สามรัฐมนตรีต่างประเทศหญิงของสหรัฐ ประวัติศาสตร์หน้าใหม่?
วันนี้เมื่อ 12 ปีก่อน เป็นอีกวันที่สร้างประวัติศาสตร์ให้กับการเมืองสหรัฐ และอาจจะเป็นระดับโลกด้วย เมื่อประธานาธิบดีคลินตันในยุคนั้น แต่งตั้งนางเมเดลีน อัลไบรท์ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศคนที่ 64 และเป็นผู้หญิงคนแรกของสหรัฐที่ได้ทำงานนี้

แต่ไม่ได้จบแค่คุณอัลไบรท์ค่ะ เพราะวันนั้นเป็นเพียงการปูทางให้กับผู้หญิงคนอื่นๆ จนถึงวันนี้ สหรัฐกำลังจะมีรัฐมนตรีต่างประเทศเป็นผู้หญิงถึง 3 คนในรอบ 12 ปี

หลังจากคุณอัลไบรท์ ก็มีพลเอกโคลิน พาว มาคั่นกลาง ก่อนที่จะตามมาด้วยรัฐมนตรีต่างประเทศหญิงคนถัดมา คือ ดอกเตอร์คอนโดลีซ่า ไรซ์ และ กำลังจะตามมาด้วยอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐ นางฮิลลารี คลินตัน ที่ได้รับการแต่งตั้งจากว่าที่ประธานาธิบดีโอบามา ของสหรัฐ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

คำถามน่าจะเกิดตามมาว่า ผู้หญิงหรือที่เหมาะกับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ความเป็นผู้หญิงจะช่วยให้การเจรจาต่อรองทางการเมืองสำคัญๆที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด สำเร็จได้มากขึ้นหรือไม่

ส่วนหนึ่งก็คงอดไม่ได้นะคะที่นักวิเคราะห์จะมองอย่างนั้น แต่ถ้าพิจารณาคุณสมบัติเฉพาะตัวของทั้งสามคนจะเห็นได้เลยว่ามีความสามารถโดดเด่น ในสายงานเวทีระดับระหว่างประเทศ และความสามารถทางการเมืองไม่ได้น้อยหน้าใครเลย

ดอกเตอร์เมเดลีน อัลไบรท์ เป็นลูกสาวของนักการทูตค่ะ พ่อของเธอโจเซฟ คอร์เบล เคยทำงานด้านการทูตที่สาธารณรัฐเชค และต่อมาเป็นอาจารย์ที่มีลูกศิษย์คนสำคัญก็คือ คอนโดลีซ่า ไรซ์ และเขาเป็นคนที่กระตุ้นให้เธอเห็นว่าอนาคตของเธอจะต้องอยู่ในวงการระหว่างประเทศ
ดอกเตอร์อัลไบรท์ เป็นผู้เปิดฉากประวัติศาสตร์ที่กลายมาเป็นผู้หญิงคนแรกที่เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศหญิงและถือได้ว่าอยู่ในตำแหน่งที่สูงสุดเท่าที่ผู้หญิงเคยทำงานในรัฐบาลสหรัฐ

ผลงานหลักๆของเธอก็คือการให้การสนับสนุนด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน และ ส่งเสริมการค้าการลงทุนของสหรัฐ และการยกระดับเรื่องการจ้างงานและสิ่งแวดล้อมในต่างประเทศ นโยบายต่างประเทศของเธอเน้นด้านบอสเนียเฮอร์เซโกวิน่า และเรื่องตะวันออกกลาง

อีกหนึ่งหญิงที่สร้างประวัติศาสตร์ก็คือ ดอกเตอร์คอนโดลีซ่า ไรซ์ ผู้รับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐเมื่อปี 2005 หรือ 2548 เป็นผู้หญิงผิวสีคนแรกที่ได้ทำหน้าที่นี้ และเป็นคนผิวสีคนที่สอง ต่อจากพลเอกโคลิน พาว ที่ได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศผิวสีคนแรก

ก่อนหน้าที่ดอกเตอร์ไรซ์ จะเป็นรัฐมนตรี เธอเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงภายในให้กับประธานาธิบดีบุช นโยบายของเธอเน้นการส่งเสริมประชาธิปไตย และตะวันออกกลาง แต่ช่วงที่เธอรับตำแหน่งประเด็นสงครามอิรักกลายเป็นเรื่องใหญ่ตลอดเวลา 8 ปี ของวาระประธานาธิบดีบุช เลยดูเหมือนจะทำให้บทบาทของเธอดูไม่โดดเด่นเท่าที่ควร

และอีกคนที่กำลังจะสร้างประวัติศาสตร์อีกหน้าก็คือ นางฮิลลารี คลินตัน ที่กำลังจะรับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศคนถัดไปของสหรัฐ และเธอจะกลายเป็นอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐคนแรกที่รับหน้าที่นี้ และจะเป็นอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งที่ได้รับเลือกได้เข้าร่วมคณะรัฐมนตรี

ไม่ต้องพูดถึงประสบการณ์อันมากมายของเธอในช่วงที่เป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง สมัยประธานาธิบดีบิล คลินตัน ที่เป็นผู้นำสหรัฐ ช่วงปี 1993-2001 และตัวฮิลลารีเอง ความสามารถก็เป็นที่ประจักษ์กับการเป็นวุฒิสมาชิกนครนิวยอร์ค โดยได้รับเลือกด้วยคะแนนล้นหลามในปี 2000 และ 2006
สำหรับภาระหน้าที่ใหม่ ทั่วโลกก็คงจะได้เห็นเธอเดินทางไปในประเทศต่างๆ เพื่อทำงานสำคัญๆให้กับรัฐบาลของโอบามา ก็จะต้องจับตากันจริงๆนะคะว่าเธอจะทำงานร่วมกับประธานาธิบดีโอบามาได้ขนาดไหน จะเข้ากันได้มั้ย หรือจะแย่งชิงกันเป็นดาวเด่น

ฮิลลารี บอกว่า ตำแหน่งใหม่นี้ “น่าจะเป็นการผจญภัยที่ลำบากแต่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น”





1.12.08

Give Peace a Chance: ให้โอกาสสันติภาพ

ห้าปีก่อนถ้ามีใครมาบอก หรือมาคาดเดา ว่าในปี 2008 จะเกิดเหตุวุ่นวายทางการเมืองในประเทศไทย และอาจจะต้องถึงขั้นใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกัน ดิฉันก็คงจะคิดว่าเป็นไปไม่ได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ทำให้ได้คิดว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นได้และเป็นไปได้จริงๆค่ะ
ตอนที่ดิฉันเคยเดินประท้วงร่วมกับชาวกรุงลอนดอน และชาวนานาประเทศ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ปี 2003 เมื่อ 5 ปีก่อน ตอนนั้นเป็นช่วงที่ชาวโลกตื่นตัวมากกับการทำสงครามของสหรัฐในอิรัก อดีตนายกรัฐมนตรีแบลร์ ของอังกฤษ ให้ความร่วมมือกับประธานาธิบดีบุชของสหรัฐคนปัจจุบัน (ที่กำลังใกล้จะหมดวาระ) พาประเทศและกองกำลังของทหารนานาชาติ เข้าไปบุกอิรัก โดยอ้างว่าเพื่อค้นหาอาวุธทำลายล้างสูง (Weapon of Mass Destruction)
กระแสจงเกลียดจงชังถูกปลุกเร้าสูงมากในยุคนั้น โดยเฉพาะต่อชาวมุสลิม โดยที่ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ แต่การที่รัฐบาลสหรัฐวาดภาพให้ชาวมุสลิม เป็นกลุ่มที่โจมตีสหรัฐ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2001 ทำให้พี่น้องมุสลิมจำนวนมากตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปอย่างช่วยไม่ได้

เหตุที่ต้องออกไปประท้วงกันตามท้องถนนมากมายขนาดนั้น เพราะคนไม่ต้องการเห็นการทำสงครามอีกแล้ว ไม่ต้องการเห็นการสูญเสีย เลือดเนื้อ และชีวิต เพราะสงครามไม่ได้สร้างคุณงามความดีให้กับใครเลย มีแต่ความสูญเสีย ไม่แต่เฉพาะคนที่ต้องเสียชีวิตเท่านั้น ญาติ พี่น้อง ครอบครัว ก็ต้องรับความเสียหายทั้งร่างกาย จิตใจ และ อารมณ์ตามไปด้วย

เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในไทยตอนนี้ช่างน่าสะท้อนใจเหลือเกิน ว่าคนไทยที่ได้ชื่อว่าเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แก้ปัญหาอย่างสันติ ไม่เผชิญหน้ากัน กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว (อย่างน้องก็สำหรับกลุ่มที่พยายามเอาชนะกันอยู่)

จนถึงขณะนี้เชื่อมั่นว่ายังไม่สายเกินไปค่ะ ที่ทุกคนจะร่วมกันหยุดยั้งไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง ไม่ต้องรอให้มีคนบาดเจ็บ ล้มตาย ไปนับร้อย นับพัน แล้วค่อยมาพูดถึงการเจรจาแก้ปัญหาด้วยสันติภาพ

เริ่มตอนนี้แหละค่ะ ช่วยกันคิดก่อนว่าความรุนแรงจะต้องไม่เกิด แล้วทำในสิ่งที่ทำได้เพื่อช่วยกันไม่ให้เกิด ดิฉันเชื่อว่าถ้าเรามั่นใจก่อนว่าสันติภาพจะเกิดได้ แทนที่จะไปปลุกเร้าเพื่อให้ย่อยยับกันไปข้างหนึ่ง เสียงเพียงหนึ่งเสียงจะกลายเป็นหลายเสียงเพื่อกระจายออกไปให้ดังๆว่า เราต้องการการแก้ปัญหาด้วยสันติภาพ ดีกว่าตะโกนว่ากระหายเลือดเป็นไหนๆ

25.11.08

วันยุติความรุนแรงต่อสตรี


วันยุติความรุนแรงต่อสตรี
วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี ก็คือวันสากลแห่งการยุติความรุนแรงต่อสตรี (The International Day for Elimination of Violence Against Women)
จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อ 37 ปีก่อนค่ะ เมื่อสามสาวพี่น้อของตระกูลมิราบัล ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองของสาธารณรัฐโดมินิกัน แต่เมื่อปี 1961 ถูกลอบสังหาร พี่น้องทั้งสามคนเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านอำนาจเผด็จการในยุคนั้น
นักเคลื่อนไหวผู้หญิงทั้งโลกเห็นคุณค่า และตั้งแต่ปี 1981 เป็นต้นมาได้กำหนดให้วันที่ 25 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง
จะมีรายงานพิเศษในประเด็นนี้ในที่นี่ ทีวีไทยคืนนี้ด้วย
และสัญลักษณริบบิ้น ที่เห็นข้างบนก็เป็นเครื่องหมายเตือนใจให้ช่วยกันลดความรุนแรงต่อผู้หญิง
อันที่จริงความรุนแรงเกิดขึ้นหลากรูปแบบ และไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้หญิงเท่านั้น เด็กผู้ชายก็ถูกกระทำความรุนแรงได้ และอาจจะเป็นสิ่งที่ถูกมองข้าม

รายการคืนนี้จะติดตามเส้นทางการโจรกรรม พระพุทธรูปอายุกว่า 200 ปี ไปจากอำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด ที่อาจจะมีการซื้อขายกันในตลาดมืด และอย่าลืมติดตามรายงานพิเศษตอนที่สอง กับภารกิจของตำรวจพลร่ม ค่ายนเรศวร ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กับงานประจำในแต่ละวันที่ช่วยเหลือชาวสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในพื้นที่

23.11.08

ดูทีวี มากๆ จะไม่มีความสุข!


มีรายงานที่สวนทางกับสายงานของดิฉันเลยค่ะ และอาจจะทำให้ผู้ดูบางท่านตัดสินใจถอยห่างออกไปจากเจ้าจอสี่เหลี่ยมนี่ก็ได้

ศูนย์วิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งชิคาโก ได้ทำการสำรวจผู้คนชาวสหรัฐ 450,000 คน ในช่วงเวลา 45 ปี พบว่า คนที่มีความสุข และบอกว่าตนเองมีความสุข จะเป็นพวกที่ชอบพบปะผู้คน ไปโบสถ์ ในช่วงสุดสัปดาห์ และ....อ่านหนังสือพิมพ์ค่ะ

ในทางตรงกันข้าม คนที่ชอบนั่งดูทีวีเงียบๆคนเดียว เป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยมีความสุข

แย่แล้วสิ คนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ ที่มีทีวีดู ก็มีความสุขน้อยลง ถึงขั้นเป็นคนที่ไม่มีความสุขเลยหรือ ยิ่งทีวี เป็นสื่อในโลกยุคนี้แล้ว แถมราคายังถูกลง เป็นมือถือทีวีก็มี แสดงว่าเทคโนโลยีใหม่ๆที่น่าจะอำนวยความสะดวกให้กับผู้คน ก็ยิ่งทำให้คนไม่มีความสุขล่ะสิ ???

คงจะไม่ขนาดนั้นกระมังคะ

จากรายงาน บอกว่า คนที่มีความสุขมักก็ดูทีวีด้วยเหมือนกัน แต่จะหมดเวลาไปกับกิจกรรมอื่นมากกว่าที่จะดูแต่ทีวี

ทีวีดูเหมือนจะส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ของผู้คนด้วย และคนที่บอกว่าตนเองมีความสุขน้อย จะใช้เวลาดูทีวียาวนานกว่า

เหมือนสมการผกผันเลยนะคะ ดูทึวีมาก = มีความสุขน้อย (กว่า)
ดูทีวีน้อยลง = มีความสุขมาก (กว่า)

แถมรายงานยังสรุปว่า ในระยะยาวๆๆแล้ว คนที่ดูทีวีมาก มีแนวโน้มจะเป็นคนมีความสุขน้อยกว่า

อ่านรายงานนี้แล้ว นึกถึงศัพท์ ว่า couch potato ที่หมายถึงพวกที่วันๆเอาแต่นั่งๆนอนๆดูทีวี

คนใกล้ตัวของหลายๆท่านมีอาการเป็น couch potato หรือเปล่าคะ

เรื่องนี้อาจจะมีมูลอยู่บ้าง เคยสังเกตตัวเองมั้ยคะว่า เวลาดูทีวีแล้วหยุดไม่ได้ บางทีรายการหรือหนังที่ดูอยู่ก็ไม่ได้เนื้อหาสาระอะไรเลย แถมเปลี่ยนช่องไปก็ยังไม่ถูกใจ แต่ก็ไม่ยอมปิดทีวี เปิดแช่อยู่นั่นแล้ว เหมือนกับทีวีกำลังเป็นเจ้านายคุณอยู่ จะนึกปิดก็เสียดาย กลัวว่าจะพลาดอะไรไป กลัวจะตกเทรนด์ หรือกลัวจะเหงา กลัวความเงียบ

ดิฉันเคยนั่งๆนอนๆอยู่หน้าทีวี จนกลายเป็นทีวีดูเราแทน กลายเป็นมันฝรั่งกลิ้งไปมาบนโซฟา (couch potato)

ไม่ต้องพูดถึงคนที่เตรียมขนมนมเนย ข้าวโพดคั่ว ของขบเคี้ยวทั้งหลาย อยู่หน้าจอทีวี นอกจากจะไม่มีความสุขแล้วยังอ้วนอีกต่างหาก

เรื่องนี้น่าจะใกล้ตัวหลายๆท่านนะคะ มีประสบการณ์แบบไหนเขียนมาเล่าสู่กันฟังบ้าง

แต่อย่าเลิกดูทีวีกันหมดนะคะ เดี๋ยวจะคิดถึงกันแย่เลย

หมายเหตุ ภาพจาก www.asa.org.uk

20.11.08

ระดมสมอง เรื่อง Human Rights ในอาเซียน

วันที่ 15-18 ธันวาคม ประเทศไทยกำลังจะมีงานใหญ่ ที่เป็นหน้าเป็นตาระดับภูมิภาคและระดับโลกค่ะ กับการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (Asean Summit) ในวาระที่ไทยเป็นประธานอาเซียน เป็นเวลายาวนานถึง 18 เดือน ที่จะไปสิ้นสุดช่วงกลางปี 2552 หมายความว่าไทยจะได้เป็นเจ้าภาพจัดงานสุดยอดผู้นำอาเซียน 2 ปีซ้อนค่ะ

ถ้าในยามบ้านเมืองปกติ สถานการณ์การเมืองเรียบร้อยก็คงไม่น่าหนักใจอะไรนักกับงานใหญ่แบบนี้ เพราะไทยเองก็เคยพิสูจน์มาแล้วว่าจัดงานได้ดี แต่ในยามนี้ก็คงจะต้องลุ้นกันพอสมควรค่ะ เริ่มแรกก็สถานที่จัดงาน ที่ตอนแรกวางไว้ว่าจะจัดในกรุงเทพ ตอนนี้ก็ต้องย้ายไปเชียงใหม่แน่นอนแล้ว

แต่ก็จะมาปิดงานกันที่กรุงเทพค่ะ และจะมีอีกงานสำคัญถัดไปทันทีก็คืองานสนทนาระดับโลก "Global Dialogue" งานนี้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของอาจารย์สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ที่เชิญผู้นำองค์กรระดับโลกอย่าง สหประชาชาติ ธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และอื่นๆ มากระทบไหล่กันที่เมืองไทย ในวันที่ 18 ธันวาคม

ไทยก็จะอยู่ในสายตาชาวโลกกันอีกครั้งค่ะในวันนั้น จับตาดูสื่อต่างๆให้ดี ที่บรรดากระจิบข่าวทั้งหลายทั่วโลกจะต้องมารวมกันที่กรุงเทพมหานคร

วันนั้นก็คงจะยังไม่ได้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ (!?!) ก็ต้องรับมือกันไปค่ะ

ตามหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนา...อยู่กับปัจจุบัน แก้ปัญหากันไปทีละวัน อย่าไปกังวลมาก (เกี่ยวกันหรือเปล่า?)

ที่เล่ามาก็เพื่อจะบอกว่า วันนี้ไปนั่งฟังงานรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการยกร่างขอบเขตอำนาจหน้าที่ขององค์กรสิทธิมนุษยชนอาเซียน ที่กระทรวงต่างประเทศเป็นผู้จัด

มีประเด็นสำคัญมากมาย โดยเฉพาะเรื่องการจัดตั้งกลไกด้านสิทธิมนุษยชน

เรื่อง Human Rights นี่ถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับวัฒนธรรมเอเชียนะคะ และที่ยิ่งน่าแปลกใจ ระคนน่าตกใจในคราวเดียวกันก็คือ มีเพียง 4 ประเทศในอาเซียนเท่านั้น ที่มีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีไทยเป็นหนึ่งในนั้นด้วย อีกสามคื่อ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย

แล้วอีก 6 ประเทศอาเซียนที่เหลือไม่มี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ !!!

น่าตั้งคำถามมากกว่า เมื่ออาเซียนต้องการผลักดัน Human Rights Body แล้วประเทศอาเซียนทั้ง 10 จะทำงานร่วมกันอย่างไร มองประเด็นปัญหาสิทธิมนุษยชนตรงกันหรือเปล่า แล้วเมื่อมีกลไกแล้วจะเข้าไปก้าวก่าย หรือแสดงความเห็นในกิจการภายในของประเทศอื่นได้หรือไม่

ยกตัวอย่างใกล้ตัว อย่างกรณีกรือเซะ หรือ ตากใบ ของไทย ไทยจะยอมให้ประเทศกัมพูชา หรือ พม่า แสดงความคิดเห็นในการจัดการได้หรือไม่ หรือในทางกลับกัน พม่าจะยอมให้ไทยแสดงความเห็นเหรอว่า ชาวพม่าไม่ได้รับสิทธิในการแสดงออกทางการเมือง นี่ยังไม่ต้องถามถึงประเด็นในประเทศอื่นๆ อย่างเช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์

งานพูดคุยกันวันนี้เป็นยกแรกเท่านั้นนะคะ

จากนี้คณะทำงานก็ต้องเร่งจัดทำกรอบการทำงาน และเสนอร่างสุดท้ายให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน เห็นชอบในเดือนกรกฎาคม ปีหน้า

โดยรวมแล้ว มีแนวคิดก็ย่อมดีกว่าไม่ดีค่ะ เพื่อนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า และความเปลี่ยนแปลงในที่สุด

Change....Yes, we can.

ขอสรุปแบบทันสมัย เข้ากับสโลแกน ของโอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐค่ะ

หมายเหตุ ภาพจาก Human Rights Education Team

18.11.08

The Personal is the Political


ฤา ภาพที่เห็นนี้จะกลายเป็นอดีตไปแล้ว สำหรับครอบครัวของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร

เหตูผลก็คาดกันไปหลายเรื่องค่ะ ที่คุณหญิงพจมาน และคุณทักษิณ หย่ากันที่สถานกงศุลไทยในฮ่องกงเมื่อวันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน ทั้งว่าเป็นเรื่องการเมือง การปกป้องทรัพย์สิน หรือ ว่าหย่ากันจริงๆ เพื่อที่คุณหญิงจะได้กลับมาต่อสู้คดีต่อในเมืองไทย

สุดจะคาดเดานะคะ แต่ก็คงจะใช้เวลาไม่นานเกินไปก็คงพอจะเดาทางกันออก

งานนี้ The personal is the political จริงๆ ตามปรัชญาของนักสตรีนิยม ที่ว่าเรื่องในบ้าน เรื่องส่วนตัวนั้น แท้จริงแล้วเป็นเรื่องการเมือง เรื่องของสาธารณะ

คำกล่าวนี้ใช้ได้อย่างแม่นเหมาะ สำหรับครอบครัวคุณทักษิณ ณ วินาทีนี้ เพราะว่าเรื่องราวส่วนตัว การตัดสินใจหย่าร้างกัน ได้กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองไปแล้ว

คำกล่าวนี้ วิเคราะห์กันถึงการแบ่งงานกัน ความสัมพันธ์ทางเพศภาวะ (gender relations) รวมถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจ (power relations) ในความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย หรือ คนคู่ใดๆก็ตาม ที่การต่อรองในเรื่องส่วนตัวนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งสิ้น

จะว่าไปพอมีคนสองคน ก็ต้องเกิดการต่อรองกัน จนถูกมองว่ากลายเป็นเรื่องการเมือง ขั้นแรกก็ในครอบครัวนี่แหละค่ะ

กรณีคุณทักษิณ กับคุณหญิงพจมาน ดูเหมือนตอนนี้ด้านหนึ่งสังคมจะตีความตามบรรทัดฐานของสังคมไทย (หรืออาจจะเป็นสังคมส่วนใหญ่ในโลก) ที่ว่า ผู้ชายจะให้ความสำคัญกับพื้นที่สาธารณะหรือการงาน อาชีพ นอกบ้าน ขณะที่ผู้หญิงจะดูแลครอบครัว และลูกเป็นอันดับหนึ่ง (ถึงแม้ขณะเดียวกันผู้หญิงก็ต้องทำงานไปพร้อมๆกันด้วย) ฉะนั้นงานนี้คุณหญิงอ้อ ก็ถูกมองว่าจะต้องตัดใจสละชีวิตแต่งงานกับอดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อจะได้มีโอกาสกลับมาต่อสู้คดีในไทย

แต่อีกด้านหนึ่งที่คงจะมองข้ามไม่ได้ก็คือ การแยกกันทางกฎหมายนั้น จะส่งผลอย่างไรต่อการดำเนินการทางการเมืองของคุณทักษิณ หรือ ครอบครัวชินวัตร ต่อไปในอนาคต

และตัวคุณหญิงเอง จะรามือ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง หรือ การบริหารภายในพรรค จริงหรือไม่

หรือจะกลายเป็นตัวแทนทางการเมืองของสามี ก็คงจะเป็นคุณทักษิณและคุณหญิงพจมานเท่านั้นที่จะล่วงรู้

16.11.08

ที่ประชุม จี-20 ซื้อเวลา...รอโอบามา


แล้วการประชุมของกลุ่มผู้นำ G-20 ที่กรุงวอชิงตัน เพื่อระดมสมองแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจก็คงจะเป็นเพียงการรวมตัวของเหล่าผู้นำเท่านั้น เพราะไม่ได้มีเนื้อหา หรือมาตรการอะไรที่ชัดเจนเพื่อแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน

ในภาพก็คือประธานาธิบดีบุช ขนาบด้วยเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ และทาโร อาโสะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น อาจจะเป็นเพราะบุชใกล้จะหมดวาระเต็มที่ ดูเหมือนผลการประชุมที่ชัดเจนก็คือ รอให้ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ โอบามา เข้ามาสานงานต่อในการประชุมครั้งถัดไป วันที่ 30 เมษายน 2009 101 วันหลังจากโอบามา สาบานตนเข้ารับตำแหน่งในทำเนียบขาว

จะว่าไปก็อาจจะน่าผิดหวัง แต่อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไร สำหรับการประชุมที่หาข้อยุติไม่ได้เช่นนี้ เพราะบุช เองก็คงไม่อยากผลักดันอะไรในระยะยาว เพราะมาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจตอนนี้เกี่ยวข้องกับหลายๆชาติ ไม่ใช่เรื่องของสหรัฐประเทศเดียวอีกต่อไป

นอกจากผู้นำสหรัฐ แล้วก็มีผู้นำอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน อินเดีย บราซิล ซาอุดิอาระเบีย อาฟริกาใต้ ตุรกี และตัวแทนอีกจาก 11 ประเทศกำลังพัฒนาร่วมหารือด้วย

เหล่าผู้แทนบอกว่าให้คำมั่นว่าจะร่วมกันทำงานต่อไป แต่ทำอะไร ทำอย่างไร รายละเอียดนั้นยังไม่มีการชี้ชัด

ประธานาธิบซาร์โกซี่ ของฝรั่งเศส ออกอาการค่อนข้างผิดหวังกับการเดินทางข้ามมหาสมุทรมาร่วมประชุมครั้งนี้ บอกว่ามาเพื่อมาประชุมไม่ได้มาท่องเที่ยว

ทางยุโรปมีจุดยืนว่า ควรจะมีกลไกควบคุมตลาดมากขึ้น และมีหน่วยงานระหว่างประเทศที่ตรวจสอบการทำงานของสถาบันการเงิน แต่ทางสหรัฐเห็นว่าผู้ตรวจสอบควรจะอยู่ในระดับชาติ เป็นข้อคิดเห็นที่ต่างกันแล้วละค่ะ เพราะสหรัฐต้องการให้คงการทำงานแบบเสรีต่อไป ขณะที่ยุโรปเห็นว่าต้องเข้มงวดกวดขันกันมากขึ้น

โอบามา ไม่ได้เข้าประชุมด้วย แต่ส่งที่ปรึกษาอย่างนางเมเดลีน อัลไบรท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เข้าไปร่วมรับฟัง เพื่อเตรียมหาแนวทางรับมือ

โดยรวม ผู้สังเกตการณ์บอกว่าการประชุมหนนี้น่าผิดหวัง

แต่ได้ข่าวว่า งานประชุมแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจนี่ใช้งบประมาณไปกับไวน์มากโขทีเดียวค่ะ Shafer Cabernet "Hillside Select" 2003 ตกขวดละ $500 หรือประมาณ 15,000 กว่าบาท หนักอยู่ละค่ะงานนี้กับงบประมาณจัดงาน !?!

หมายเหตุ: ภาพจาก New York Times

12.11.08

สลับร่าง...คิวข่าว ของ ที่นี่...ทีวีไทย


เสน่ห์อย่างหนึ่งของการทำรายการที่นี่ ทีวีไทย ก็คือต้องพร้อมที่จะยืดหยุ่นตลอดเวลา ทั้งความคิดและอารมณ์ เรียกว่าต้องเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมอารมณ์ให้พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยววินาที
อย่างสองวันที่ผ่านมา ประเด็นนำที่เตรียมไว้ในช่วงระหว่างวันต้องมาเปลี่ยนอย่างหมิ่นเหม่ ตอนประมาณ หกโมงเย็นค่ะ ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกค่ะที่เป็นอย่างนี้
พอมีประเด็นที่ร้อนและฮอตของวัน ก็ต้องเตรียมสลับสับเปลี่ยนคิวข่าวกันทันทีค่ะ จะว่าไปก็เป็นเรื่องปกติ แสนจะธรรมด๊า ธรรมดา สำหรับอาชีพสื่อมวลชน ที่ต้องทำงานแข่งกับเวลากันอยู่ตลอดเวลา ยิ่งช่วงนี้การเมืองก็มีแต่เรื่องตื่นเต้นในแต่ละวัน ประเด็นก็พร้อมเปลี่ยนทันที
อย่างวันจันทร์ที่ผ่านมา พอช่วงเย็นๆก็มีกระแสข่าวลอยมาแล้วว่า พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ส กรณีที่รัฐบาลอังกฤษถอนวีซ่า ประเด็นร้อนขนาดนี้ไม่เอาขึ้นนำก็ไม่ได้แล้วค่ะ
พอมาวันอังคาร ช่วงเย็นๆคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือ ปปช พิจารณาว่าคณอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีความผิดกรณีทุจริตเรือและรถดับเพลิงมูลค่า 6,800 ล้านบาท
ถามว่าก็รู้แล้วว่าจะต้องมีประเด็นเหล่านี้ตั้งแต่เช้าแล้วไม่ใช่เหรอ
ก็พอจะรู้เลาๆนะคะ แต่บางทีถ้าผลการตัดสินไม่ได้ออกมาอย่างน่าตื่นเต้นหรือตกใจก็อาจจะไม่ได้เป็นเรื่องนำ หรือถ้าคุณทักษิณ ไม่ได้ให้สัมภาษณ์แบบเต็มๆเสียงชัดถ้อยชัดคำ ก็อาจจะไม่ได้กลายเป็นประเด็นเด่นของวันก็ได้
สรุปเอาแบบดื้อๆว่า ก็ต้องเตรียมอารมณ์ ทำใจให้พร้อมกัน ในแต่ละวันล่ะคะ สำหรับการผลิตและจัดรายการข่าวสดๆ แบบ ที่นี่...ทีวีไทย

26.10.08

โอบามา vs แมคเคน: ศึกปะทะเท้าไฟ

ขับเคี่ยวกันทางความคิด และวาจา กันมานานหลายเดือน ถึงเวลาแล้วที่บารัค โอบามา ต้องดวลลีลา

เท้าไฟ กับ จอห์น แมคเคน เพื่อเตรียมความพร้อมเป็นผู้นำสหรัฐ....

ลีลาเหลือร้ายทั้งคู่!

23.10.08

ลีลาส่ายสะโพกของโอบามา

โค้งสุดท้ายหาเสียงเลือกตั้งสหรัฐ ผู้สมัครต้องทุ่มเทเต็มตัวค่ะ ใครขอให้ทำอะไรก็ต้องทำ

โดยเฉพาะถ้าเป็นคำขอจากพิธีกรตลกหญิงชื่อดังอย่าง Ellen DeGeneres ที่ขอให้โอบามามาร่วมรายการ และแถมยังแซวลีลาเต้นรำของโอบามาด้วยว่า อาจจะสู้ของภรรยามิเชลไม่ได้

งานนี้โอบามายอมแพ้ภริยาตัวเอง แต่มั่นใจมากๆว่ายักย้ายส่ายสะโพกได้เจ๋งกว่าแมคเคนแน่ๆ ^-^

เสียงตามสายจาก...ทักษิณ


ยามนี้พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร จะทำจะพูดอะไรก็ยิ่งเป็นข่าวค่ะ โดยเฉพาะหลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินให้จำคุกอดีตนายกรัฐมนตรีจำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตจัดซื้อทีดินรัชดา

จากคำให้สัมภาษณ์เมื่อสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา กับสำนักข่าวรอยเตอร์ คุณทักษิณ บอกว่า กำลังหารือกับทีมที่ปรึกษากฎหมาย เกี่ยวกับการยื่นอุทธรณ์ในคดีที่ดินต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คุณทักษิณบอกว่า

"ไม่ออกแถลงการณ์แล้ว แต่ผมจะ phone in เข้ามาพูดกับประชาชน ประมาณ 20 นาที"

หมายถึงว่า จะโทรศัพท์จากต่างประเทศมาคุยกับผู้ร่วมชุมนุมของรายการความจริงวันนี้สัญจร ที่ใช้ชื่อ
"ความจริงวันนี้ ต้านรัฐประหาร" ในวันที่ 1 พฤศจิกายน

คุณทักษิณพูดถึงเรื่องการขอลี้ภัยด้วย ที่ก่อนหน้านี้เคยมีรายงานว่ากำลังทำเรื่องขอลี้ภัยอยู่ แต่คุณทักษิณพูดอีกแบบ โดยบอกว่า "เรื่องลี้ภัยไม่มี เพราะใช้วีซ่านักท่องเที่ยวอยู่ ผมเดินเข้าออกอังกฤษประจำ ผมได้รับเชิญให้ไปเป็นที่ปรึกษาในหลายประเทศ บางทีก็เสนอให้ไปอยู่ด้วย บางทีเสนอให้เป็นที่ปรึกษาแก้ปัญหาความยากจน"

แต่ที่ชัดเจนเห็นจะเป็นเรื่องจังหวะที่จะรอกลับประเทศไทย แสดงให้เห็นว่าคุณทักษิณชัดเจนย้ำจุดยืนเดิมที่เคยเขียนแถลงการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจะกลับเมืองไทยเมื่อถึงเวลาเหมาะสม ในครั้งนี้คุณทักษิณบอกว่า
"ยังไม่กลับตอนนี้ กลับได้อย่างไร กลับก็ถูกจับ สิ่งที่เขาทำกับผมทั้งหมด ก็เพื่อไม่ให้ผมอยู่ในประเทศ เป็นผลงานของคณะปฏิวัติ...ขั้นต่อไปก็คือการยุบพรรค"

ดูแล้วการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีแรงกระเพื่อมจากกรุงลอนดอน มาถึงประเทศไทย ก็คงจะไม่จบง่ายๆค่ะ ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นก่อนที่อดีตนายกรัฐมนตรีจะ "phone in" ในวันที่ 1 พฤศจิกายนหรือไม่ เพราะกระแสจากทางฝั่งไทยเองก็มีอยู่มิใช่น้อย

20.10.08

ดู...ความเคลื่อนไหวที่ศาลฎีกา วันที่ 21 ตุลาคม 2551


ช่วงนี้มีเรื่องให้ต้องนับถอยหลังกันมากมายค่ะ แต่คงไม่มีอะไรที่จะเท่ากับการฟังคำพิพากษาคดีประวัติศาสตร์วันพรุ่งนี้ (21 ตุลาคม 2551) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตอนนี้ก็เหลืออีกประมาณ 14 ชั่วโมงค่ะ ก็จะได้ฟังรายละเอียดการพิจารณาคดีขององค์คณะผู้พิพากษาในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินรัชดาภิเษก บนเนื้อที่ 33 ไร่ มูลค่า 772 ล้านบาท

ทำไมต้องเป็นคดีประวัติศาสตร์?

เพราะว่าอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ตกเป็นจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับในคดีนี้

ถ้าอดีตผู้นำประเทศและภรรยา เพียงสองท่านเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็อาจจะไม่มีคนคอยติดตามความเคลื่อนไหวของคดีมากขนาดนี้

แต่คดีนี้เกี่ยวข้องกับผู้คนหลายฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีจุดยืนคนละขั้วอย่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ กลุ่มแนวร่วมเพื่อประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ

และเกียวข้องกับอนาคตของทั้งคุณทักษิณและคุณหญิงพจมาน และการขอลี้ภัยทางการเมืองในประเทศอังกฤษ

และเกี่ยวข้องกับชะตาของประเทศไทย

เดิมพันครั้งนี้สูงมากค่ะ และเชื่อว่าวันพรุ่งนี้ผู้คนจำนวนมากก็จะต้องคอยฟังรายละเอียดว่าองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะอ่านคำตัดสินในคดีนี้อย่างไร

อีกอึดใจเดียวก็จะได้ทราบกันแล้ว

ติดตามความวุ่นวายทางการเมืองที่หลายๆฝ่ายกำลังหาทางปลดล๊อค แล้วพอได้อ่านความคิดของท่านพุทธทาสภิกขุ แล้วก็อดไม่ได้ค่ะที่จะเปรียบเทียบกับนักการเมืองในเมืองไทย ขอยกข้อเขียนของท่านพุทธทาสจากหนังสือ การเมืองคืออะไร ? มา ณ ที่นี้ค่ะ ท่านตั้งคำถามว่า

"...มีใครสักกี่คน ที่เป็นนักการเมือง เพื่อเอาบุญ, ด้วยการมุ่งสร้างสันติภาพขึ้นในโลก? และมีกี่คนที่เป็นนักการเมือง เพื่อ ตัวกู-ของกู, และมีผลกลายเป็นเรื่องของ กิน-กาม-เกียรติ, ชนิดที่เห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว. "

น่าจะเป็นคำถามที่ใช้ได้ไปตลอดกาลสำหรับผู้ที่อาสาเข้ามาทำงานการเมือง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่กำลังถามหาสันติภาพกันเช่นในเวลานี้

19.10.08

จับตาคดีดัง ใน 40 ชั่วโมง


อีก 40 ชั่วโมง จากนาทีที่ดิฉันเขียนบล็อกอยู่นี้ก็จะถึงนัดหมายสำคัญอีกวันหนึ่ง
กับคดีดังของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
ในวันที่ 21 ตุลาคม เวลา 14.00 น. โดยพันตำรวจโททักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เป็นจำเลยในคดี

ก่อนหน้านี้ศาลได้ออกหมายจับจำเลยทั้งสองไปแล้ว เพราะไม่มาฟังคำพิพากษาคดีการจัดซื้อที่ดินรัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 17 กันยายน

โดยรายละเอียดของคดีคือ จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกันเป็นคู่สัญญา หรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี และเป็นเจ้าพนักงาน และผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการ หรือดูแลกิจการใด เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่น ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ. 2542 มาตรา 4, 100 และ 122 ประมวลกฎหมายอาญามาตาร 33, 83, 86, 91, 152 และ 157 จากกรณีที่คุณหญิงพจมานเข้าประมูลซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก 4 แปลง มูลค่า 772 ล้านบาทเศษจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน

อย่างที่ทราบกันนะคะว่าตอนนี้จำเลยทั้งสองกำลังทำเรื่องขอลี้ภัยอยู่ในประเทศอังกฤษ และสำหรับพันตำรวจโททักษิณ หมายจับที่ออกมานี้เป็นใบที่สามแล้ว

และคดีนี้ที่ศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษากันในวันที่ 21 ตุลาคม เป็นคดีที่มีความสำคัญเพราะถึงศาลฎีกาแล้ว จะอุทธรณ์ไม่ได้แล้ว คำสั่งศาลถือเป็นคำตัดสินสูงสุด

ท่ามกลางกระแสการเมืองที่กำลังเชี่ยวกรากอยู่ขณะนี้ ถึงแม้จะได้เห็นภาพผู้บัญชาการทหารบกนั่งคุยกับนายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไปแล้วในวันนี้ ก็ยังไม่แน่นักว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากนี้ไปในอีก 40 ชั่วโมง

ด้านหนึ่งพันธมิตรบอกว่าจะใช้กลยุทธดาวกระจายอีกครั้งในวันจันทร์ ขณะที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช ก็ยังไม่สลายการชุมนุม

สถานการณ์ทางการเมืองอ่อนไหวเป็นอย่างยิ่งในห้วงเวลานี้






18.10.08

จับตาท่าที นายก vs แม่ทัพบก

สถานการณ์บ้านเมืองโดยเฉพาะการเมืองกำลังอ่อนไหว และเคลื่อนไหวกันอย่างรวดเร็วค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้หลายคนจับตามองว่านายกรัฐมนตรี และ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก จะเดินทางไปเยี่ยมทหารไทย บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมกันหรือไม่
ปรากฎว่าวันนี้นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปที่ อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ผู้เดียว โดยไม่มีผู้บัญชาการทหารบกไปด้วย
อาจจะกำลังวัดใจกันอยู่นะคะ หลังจากเกิดปรากฎการณ์ "ปฏิวัติเงียบ" ของผู้นำเหล่าทัพเมื่อเย็นวันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม และตามมาด้วย "ปฎิบัติการแถลงข่าวพร้อมแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล" ช่วงเย็นวันที่ 17 ตุลาคม
เป็นคมเฉือนคมผ่านหน้าจอโทรทัศน์กันในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงค่ะ
ขณะที่ทางฝ่ายกองทัพพร้อมกันแสดงจุดยืน บอกเป็นนัยว่า รัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบต่อการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม รัฐบาลก็แสดงจุดยืนที่ชัดเจนเช่นกันว่าจะไม่ยุบสภา ไม่ลาออก (อย่างน้อยก็ในช่วงนี้ไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้ง สสร 3 และแก้รัฐธรรมนูญได้สำเร็จ)
กองทัพกับรัฐบาลกำลังยืนอยู่คนละขั้วจนยากจะประสานหรือไม่???? ความเคลื่อนไหวแบบนี้รอกันเป็นวันก็คงจะไม่ไหวค่ะ คงต้องตามกันชั่วโมงต่อชั่วโมง
และพื้นที่ของสื่อ ก็จะเป็นอีกพื้นที่ที่จะได้เห็นความเคลื่อนไหวในสาธารณะ (public sphere) แต่ก็คงจะมีรายละเอียดอีกมากมายที่ไหลผ่านไปผ่านมาในพื้นที่ส่วนตัว (private sphere) ที่สาธารณะชนมิอาจล่วงรู้ได้ถึงการพูดคุย เจรจา ในหลายๆเรื่อง
ก็ต้องคอยตามกันต่อจริงๆค่ะ เพราะ 15 วันที่นายกรัฐมนตรีสมชาย บอกให้รอดูผลการตรวจสอบจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงอาจจะช่วงเวลาที่เนิ่นนานเกินไปก็ได้

17.10.08

"ปฏิวัติเงียบ" แบบดังๆ

เชื่อว่าหลายๆท่านก็คงจะได้เห็นภาพของการ "ปฏิวัติเงียบ" ของบรรดาผู้นำเหล่าทัพที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ในรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ ที่สัมภาษณ์โดยคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา ไปแล้วเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 16 ตุลาคม

เห็นภาพแล้วอยากจะเรียกว่า "ปฏิวัติทางทีวี" ค่ะ เพราะแทนที่จะเป็น silent coup กลับน่าจะเป็น tv coup ที่เป็นการประกาศจุดยืน ด้วยภาพของเหล่าแม่ทัพผ่านหน้าจอทีวี

แค่เพียงปรากฎตัวพร้อมๆกันหน้าจอโทรทัศน์ ในยุคที่ข่าวสารบ้านเมืองส่งถึงกันทั้งทาง วิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เนต ส่งข้อความ บล๊อก โทรศัพท์มือถือ ก็ทำให้เห็นภาพของความพร้อมเพรียงของผู้บัญชาการทหารบก พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเอกทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พลเรือเอกกำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารอากาศ พลอากาศเอกอิทธพร ศุภวงศ์ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ

คงจะได้เห็นภาพการผลิตซ้ำของคำพูดของผู้บัญชาการทหารบก อีกหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะในประโยคเด็ด ที่บอกว่า "เป็นผมลาออกไปแล้ว"

ก็เป็นเสียงสะท้อนๆที่ดังๆฟังชัดๆ ของผู้นำทหารในยามนี้ หลังจากเกิดความรุนแรงจากการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ตอนนี้ทุกฝ่ายต่างจับจ้องไปที่การตรวจสอบว่าใครคือผู้บัญชาการในคืนวันที่ 6 ตุลาคม เพื่อให้ใช้กำลังเข้าปราบการชุมนุม

เสียงของ "ปฏิวัติเงียบ" ครั้งนี้ จึงดังกระหึ่มอยู่ทั่วเมืองไทยในขณะนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าผู้ที่เกี่ยวข้องจะได้ยินหรือไม่ หรืออาจจะตั้งใจไม่ได้ยิน (หรือเปล่า)?

12.10.08

แถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีสมชาย เต็มไปด้วยความคลุมเครือ

ช่วงนี้เชื่อว่าท่านที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองจะต้องตื่นตัวเป็นอย่างมาก เพราะเกิดความเคลื่อนไหวที่สำคัญๆเกิดขึ้นตลอดเวลา

เชื่อว่าหลายท่านอดเป็นห่วงไม่ได้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะในวันพรุ่งนี้วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะใช้กลยุทธที่กลุ่มเรียกว่าดาวกระจาย ไปปิดล้อมหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทุกสายคงจะไม่จับจ้องการเคลื่อนการชุมนุมมากขนาดนี้ถ้า…

…ถ้าไม่เกิดเหตุรุนแรงขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ตำรวจใช้แกสน้ำตาสลายการชุมนุมของพันธมิตรที่เคลื่อนไปที่หน้ารัฐสภา และทำให้มีผู้เสียชีวิตไปถึง 2 คน และ บาดเจ็บไปถึง 478 คน

…ถ้าตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม ที่ผ่านมากลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการหรือ นปช ไม่ได้นัดรวมพลจัดกิจกรรมกันตลอดสุดสัปดาห์และบอกว่าจะจัดต่อไปจนถึงวันที่ 14 ตุลาคม

….ถ้านายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะพูดชัดเจนหรือแถลงให้แจ่มแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้นกับการสั่งการในวันที่ 7 ตุลาคม

คำถามที่สังคมกำลังต้องการคำตอบอย่างชัดเจนและแม่นยำ คือ ขั้นตอนการสั่งการในการสลายการชุมนุมวันที่ 7 ตุลาคมเป็นอย่างไร และ ใครจะต้องรับผิดชอบ

6 วันเต็มๆแล้วนะคะที่สังคมพูดคุยกันในเรื่องนี้ แต่จนถึงนาทีนี้ ยังไม่ได้ยินอะไรทีชัดเจนจากนายกรัฐมนตรีแม้แต่คำเดียว

การแถลงข่าวที่เพิ่งผ่านไปเมื่อสักครู่เวลา 20.30 น. ที่จัดแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ กลับไม่มีเรื่องนี้อีกอย่างที่น่าจะมี เพราะนี่เป็นการแถลงการณ์ด่วน นายกรัฐมนตรีพูดแค่เพียงว่าได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสองชุดเพื่อมาตรวจสอบข้อเท็จจริง และเพื่อการเยียวยาสิ่งที่เกิดขึ้น

จะไม่ช้าไปหน่อยเหรอคะกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว 6 วัน ดิฉันเพียงแต่หวังว่าจะมีถ้อยคำ มีข้อมูล มีความชัดเจน ออกมาจากผู้นำประเทศมากกว่านี้ในการแถลงการณ์ด่วน

ตอนนี้แม้แต่หน้าตาของคณะกรรมการอิสระก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีใครเข้ามาทำหน้าที่ และจะดำเนินการอย่างไร

ตอนนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเริ่มปิดทางเข้าบริเวณด้านข้างและด้านหน้าแล้วนะคะ และมีรายงานว่าจะเปิดอีกครั้งในช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ตั้งแต่ตีห้า

แต่ล่าสุดทางพันธมิตรบอกว่าจะเลื่อนการเคลื่อนขบวนออกไปก่อน วันที่ 13-14 ตุลาคมก็จะงดออกไปก่อน

การเผชิญหน้าก็จะได้ชะลอออกไปก่อน แต่ว่ารากของปัญหาที่แท้จริงก็กำลังรอการแก้ไขอย่างเร่งด่วนค่ะ

5.10.08

"พ่อค้าความตาย" ถูกยึดยื้อระหว่างหมีขาวและลุงแซม

วิคเตอร์ บูต หรือผู้ได้รับฉายาว่า “พ่อค้าความตาย” มาถูกจับที่กรุงเทพ เมื่อ 6 มีนาคม ที่ผ่านมา

นายบูต เป็นอดีตสายลับชาวรัสเซีย ที่ผันตัวมาเป็นพ่อค้าอาวุธ และถูกทางการสหรัฐกล่าวหาว่าเป็นผู้จัดหาอาวุธมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ ใหกับกลุ่มกบฏฟาร์ค ในโคลอมเบีย

ทางการสหรัฐเป็นผู้ออกหมายจับเพื่อให้ตำรวจไทยปฏิบัติการ

เมื่อพ่อค้าความตาย ชาวรัสเซีย มาถูกจับอยู่ในประเทศไทย ทำให้ตอนนี้ไทยต้องอยู่ตรงกลาง ระหว่าง ลุงแซมสหรัฐ กับ หมีขาวรัสเซีย แต่ละฝ่ายต่างต้องการให้ส่งนายบูต ไปที่ประเทศตน

สหรัฐต้องการดำเนินคดีกับนายบูต ในฐานะผู้ก่อการร้ายที่มีความผิดถึง สี่กระทง

แต่ทางรัสเซียก็ต้องการได้ตัวนายบูตคืน ในฐานะชาวรัสเซีย ที่รัฐบาลรัสเซียเห็นว่าไม่ได้ทำผิดอะไร

เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย ท่านทูตเยฟเกนี อาฟานาเซียฟ ยืนยันกับดิฉันตอนที่ได้สัมภาษณ์ท่านว่า นายบูตไม่ได้ทำความผิดอะไร และข้อหาต่างๆที่ทาการสหรัฐตั้งข้อหาไว้ ก็ถูกยกเลิกหมดแล้วในไทย ท่านทูตบอกว่า “เชื่อมั่นในระบบศาลยุติธรรมของไทย ว่าจะตัดสินโดยไม่มีอคติ” และเสริมด้วยว่า จะไม่กดดันทางการไทยในเรื่องนี้ โดยรัสเซียจะพูดคุยกับสหรัฐเอง

นอกจากถูกตั้งข้อสงสัยว่าจำหน่ายอาวุธให้กลุ่มกบฏฟาร์คแล้ว นายบูตถูกสงสัยด้วยว่าเป็นผู้จัดหาอาวุธสงครามให้กับกลุ่มทาเลบัน และอัลไคด้า รวมถึงหาอาวุธเพื่อสนับสนุนสงครามกลางเมืองในทวีปอาฟริกาด้วย

ชื่อของนายบูตเริ่มเป็นที่จับตามองตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน แต่มาถูกจับที่กรุงเทพเมื่อ 6 มีนาคมค่ะ เพียงห้าวัน หลังจากที่รัฐบาลโคลอมเบียพบคอมพิวเตอร์ของหัวหน้ากลุ่มกบฏฟาร์ค ที่ค่ายแห่งหนึ่งในเอควาดอร์

ต้องดูกันต่อว่านายบูตจะถูกส่งตัวในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปที่ประเทศไหน สหรัฐ หรือจะได้กลับไปรัสเซีย บ้านเกิด

3.10.08

ลุงโจ กับ หลานซาร่าห์ ปะทะคารมครั้งแรกและครั้งเดียว

ตอนนี้ผู้ท้าชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐ จากสองพรรคอเมริกัน กำลังโต้คารมกันอย่างสดๆค่ะ เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ทั้งสองจะต้องเจอกันบนเวที ในการโต้วาทีสดๆ

Joe Biden วุฒิสมาชิกจาก Delaware พรรคเดโมแครต เจอกับ Sarah Palin วุฒิสมาชิกจาก Alaska พรรค Republican

ถกเถียงกันหลายๆเรื่องค่ะ หนีไม่พ้นเรื่องหลักเรื่องแรก กับปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น เป็นการวัดกึ๋น การพูดกันสดๆของทั้งสองท่าน

เป็นการพูดกันสดๆ ที่มีเสน่ห์ยิ่งนัก ที่ได้เห็นลีลาของนักพูด มาทดสอบสมองกัน
และเห็นต่างกันในประเด็นหลักๆ ทั้งเรื่องอิรัก สิ่งแวดล้อม และปัญหาเศรษฐกิจ

ตอนนี้นักวิเคราะห์ดูค่อนข้างชื่นชม Palin ที่ดูแล้วมีความมั่นอกมั่นใจขณะโต้วาที ขณะที่ Biden ก็อาศัยความเก๋าในการแสดงวิสัยทัศน์

งานนี้อาจจะลงกันยากค่ะ แต่อีกนัดที่ต้องติดตามกันอย่างเข้มข้นก็คือการโต้วาที นัดที่สองของผู้สมัครตำแหน่งประธานาธิบดี จากสองพรรค

ช่วงนี้ความเคลื่อนไหวใหญ่ๆ ไปอยู่ที่อเมริกา ที่กำลังถูกจับจ้องอย่างใกล้ชิดค่ะ

อย่างว่าแหละค่ะเป็นยักษ์ใหญ่ ขยับตัวทำอะไรก็จะกระทบประเทศอื่นๆไปหมด

1.10.08

พี่เบิ้มสหรัฐ เจอศึกหนักรอบตัว


อีกไม่ถึง 48 ชั่วโมง ที่ต้องจับตากันว่าสภาคองเกรสของสหรัฐ จะโหวตผ่านร่างกฎหมายเพื่อกอบกู้สถาบันการเงินที่ต้องใช้งบประมาณมากถึง 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือไม่


ช่วงนี้คงจะไม่มีข่าวไหนร้อนแรงไปกว่าความเคลื่อนไหวที่มีต้นตอจากสหรัฐ ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง ที่เกี่ยวข้องกันโดยตรงค่ะ


เศรษฐกิจที่กำลังเจอวิกฤติที่เรียกว่า hamburger crisis ก็กำลังทำให้ทั้งโลกวิตก เพราะเกรงว่าเศรษฐกิจของตนจะโดนหางเลขไปด้วย


สหรัฐเป็นประเทศที่เศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก ถ้าปัญหาสถาบันการเงินล้มเป็นโดมิโน เจ้าของกิจการขนาดเล็ก ชาวอเมริกันทั่วไปก็จะต้องเดือดร้อน เมื่ออำนาจในการจับจ่ายของคนสหรัฐลดลง ก็ย่อมส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศอื่น ที่ต้องพึ่งพิงตลาดสหรัฐ อย่างคนไทยก็จะขายของ ส่งออกให้คนอเมริกันได้น้อยลง คนอเมริกันก็อาจจะมาเที่ยวเมืองไทยน้อยลงไปด้วย


อีกด้านหนึ่งที่ต้องจับตาในวันพฤหัสบดีเช่นเดียวกัน ก็คือการโต้วาทีของผู้สมัครตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐ ระหว่าง Sarah Palin ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน และ Joseph Biden จากพรรคเดโมแครต ที่ต้องมาปะทะคารมกันครั้งแรกในเวทีระดับประเทศ
เชื่อว่าประเด็นเศรษฐกิจจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ทั้งสองฝ่ายต้องเตรียมตัวกันให้ดีค่ะ
วันพฤหัสบดี จับตาความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญทั้งเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง จากประเทศพี่เบิ้มอย่างสหรัฐค่ะ


27.9.08

"คมเฉือนคม" กับผู้ชิงชัยประธานาธิบดีสหรัฐ

ค่ำวันศุกร์ตามเวลาสหรัฐ เช้าวันเสาร์ที่ 27 กันยายนตามเวลาในบ้านเรา ก็ได้เห็นการเชือดเฉือนทางวาจา และวัดกึ๋น ของสองผู้ท้าดวลเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ

เป็นการออกทีวี แสดงวิสัยทัศน์ โต้วาทีสดๆเป็นครั้งแรก ให้ผู้ชมในสหรัฐและทั่วโลกได้ชมกันค่ะ

แต่ละฝ่ายต่างไม่ยอมลดราวาศอก ในการสู้ศึกด้วยวาจา และความคิด

ทั้งวุฒิสมาชิกบารัก โอบามา ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต และวุฒิสมาชิกจอห์น แมคเคน จากพรรครีพับลิกัน

สามสิบนาทีแรกของการโต้วาที ทั้งสองให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แทนที่จะเป็นเรื่องนโยบายต่างประเทศ

อีกคมหนึ่งในการโต้วาที มาจากผู้ดำเนินรายการฝีปากกล้า จิม เลอห์เรอร์ จาก PBS ของสหรัฐ ที่เป็นผู้ยิงคำถาม และมีอยู่ช่วงหนึ่งถึงกับถามวุฒิสมาชิกทั้งสองคนว่า "เห็นโต้วาทีกันไปมาไม่เห็นมีใครพูดได้ชัดเจนเลยว่ามีวิสัยทัศน์ที่จะแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจกันอย่างไร"

ตรงไปตรงมา ดีค่ะ สำหรับการวัดกึ๋นของทั้งผู้โต้วาที และผู้ดำเนินรายการในครั้งนี้

มองดูแล้วการเมืองไทยคงยังอีกไกล คนไทยจะมีโอกาสได้เห็นการโต้วาทีแบบเนื้อๆ ที่คุยกันแต่เรื่องเนื้อหาล้วนๆบ้างไหมหนอ ถ้าจะมีโอกาสบ้างก็น่าจะเป็นฤกษ์งามยามดีของการพัฒนาทั้งคุณภาพนักการเมือง ผู้ชม และ คุณภาพของสื่อไปพร้อมๆกันค่ะ

24.9.08

นายกรัฐมนตรีใหม่ และ คณะรัฐมนตรีใหม่ !?!


มีโผออกมามากมายหลายโผ เรื่องคณะรัฐมนตรีใหม่ หลังจากที่ได้นายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 ไปเรียบร้อยแล้ว
วันนี้ก็น่าจะได้ทราบกันนะคะ
ถ้าตามความเคลื่อนไหวก็จะได้เห็นว่ารายชื่อโผ และการต่อรองของแต่ละกลุ่ม แต่ละค่าย ภายในพรรคพลังประชาชน และพรรคร่วมรัฐบาล เป็นไปอย่างรวดเร็ว หลายชั้น และไหนยังจะมีแรงกดดันจากภายในบ้านของนายกรัฐมนตรีเอง แต่แรงกำกับที่ชัดเจนน่าจะมาจาก "นายใหญ่" ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
แต่ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหน กลุ่มไหนเข้ามา ก็หวังว่าจะเข้ามาทำงานกันอย่างเต็มที่ เพราะตอนนี้แรงกดดันจากภายนอกพรรคเองก็ไม่น้อยค่ะ
ยิ่งมีกระแสพุดถึงการปฏิรูปการเมือง และการเมืองใหม่ด้วยแล้ว รัฐบาลก็คงจะดูดายไม่ได้
ในขณะที่ภาคประชาชนก็ต้องตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลกันอย่างหนักหน่วงมากขึ้น
ไม่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้นนะคะที่กำลังเจอการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพราะว่าที่มาเลเซีย พรรคฝ่ายค้านที่นำโดยนายอันวาร์ อิบราฮิม ก็กำลังลุ้นอยู่ว่าจะเปลี่ยนข้างดึง สส ฝ่ายรัฐบาลไปร่วมได้มากขนาดไหน ขณะที่นายกรัฐมนตรีบาดาวี ของมาเลเซียก็เริ่มจะถอดใจ ร่ำว่าจะลงจากตำแหน่งก่อนสิ้นปีนี้
การเมืองไทย การเมืองโลก กำลังปรับเปลี่ยน ไปพร้อมๆกับวิถีเศรษฐกิจโลก ที่กำลังถึงจุดพลิกผันอย่างแรงเช่นกัน จะตัดไทยออกจากระบบเศรษฐกิจ และ การเมืองโลกไม่ได้แน่นอนค่ะ อยู่ที่ว่าไทยเองจะปรับตัวไปทิศไหน และพร้อมจะปรับตัวแค่ไหนมากกว่า

16.9.08

916: D-Day ของ อันวาร์ อิบราฮิม



วันนี้วันดีเดย์ของนายอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำพรรคฝ่ายค้านของมาเลเซีย ณ วินาทีนี้ คงไม่มีชาวมาเลเซียคนไหนไม่รู้จัก 916 หรือ วันที่ 16 เดือน กันยายน (เดือน 9)

เป็นดีเดย์ ที่นายอันวาร์บอกว่าจะยึดอำนาจมาจากรัฐบาลให้ได้ ตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นขาขึ้นของผู้นำฝ่ายค้านมาเลเซียค่ะ ที่ได้เสียงสนับสนุนหนักแน่นมากขึ้น

แต่กลยุทธการดึง สส มาจากพรรคแนวร่วมรัฐบาลนี่ก็เด็ดค่ะ น่าจะเด็ดดวงพอๆกันระหว่าง พรรครัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้าน เพราะพอรัฐบาลรู้ว่ากำลังจะโดน "ดูด" ก็ส่ง สส ฝ่ายตนไปดูงานถึงไต้หวัน งานนี้ฝ่ายอันวาร์ก็ไม่ลดละ ส่ง สส ไปหว่านล้อมถึงไต้หวัน เพื่อให้โอนเอียงมาทางฝ่ายค้านให้ได้

นายอันวาร์ โหมโฆษณาไปแล้วว่าถ้าได้ สส จากพรรคแนวร่วมรัฐบาลมาถึง 30 คนก็พอแล้วที่จะโค่นรัฐบาลได้

ช่างมั่นใจเหลือเกิน! แต่นักวิเคราะห์ของมาเลเซียเองก็มองว่า อันวาร์ไม่มีอะไรจะเสียหรอก เพราะเขาไม่ได้กดดันตนเอง ถ้าวันดีเดย์ 916 ทำไม่ได้อย่างที่ว่า ก็ค่อยๆทำต่อไป ต่อไป เรื่อยๆ เดี๋ยวก็ต้องได้สักวัน

พรรค Umno ของนายกรัฐมนตรีอับดุลเลาะห์ บัดดาวี ก็คงจะหนาวๆร้อนๆค่ะงานนี้ เพราะไม่รู้ว่าจะถูก "ดูด" สำเร็จเมื่อไร

หรือว่าจะต้องเริ่มนับถอยหลังกันแล้วสำหรับนายกรัฐมนตรีบัดดาวี ?!?

ดูเพื่อนบ้านแล้วก็สะท้อนใจอะไรบางอย่าง กับคำว่า "การเมือง"

การเมืองไทยเองก็เริ่มนับถอยหลังแล้วนะคะ วันพุธ ( 17 กันยายน) ก็จะได้เห็นอีก "โฉมหน้า" ของเกมการเมืองในสภาค่ะ รักใคร ชอบใคร เชียร์ใคร ก็อย่าลืมติดตาม ทั้งพรรคพลังประชาชน พรรคร่วมรัฐบาล และ พรรคประชาธิปัตย์ ชั้นเชิงน่าจะแพรวพราวกันไม่น้อยค่ะ



10.9.08

who's that guy????


เครื่องหมายคำถามหลายๆคำถาม ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนถัดไป
หลังจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้สภาพการเป็นนายกรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช สิ้นสุดลง ในกรณีเป็นพิธีกรรายการชิมไปบ่นไปว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 267

เชื่อว่าหลายท่านคงรู้รายละเอียดกันแล้วนะคะ ตอนนี้ก็ต้องเฝ้าดูความเคลื่อนไหวกันต่อไปอย่างใกล้ชิด

วันนี้ผู้สื่อข่าวก็เฝ้าหน้าจอทีวีกันตั้งแต่ก่อนบ่ายสองโมง แต่ก็ต้องรอกันไปเรื่อยๆจนถึงเวลา 15.45 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็เริ่มอ่านคำวินิจฉัยค่ะ

หนึ่งชั่วโมงเต็มๆกับการรับฟังคำวินิจฉัย เมื่อฟังแล้ว ได้รับทราบผลแล้วว่าตุลาการลงมติ 9:0 ว่านายสมัคร สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ต้องปรับกระบวนยุทธการรายงานของที่นี่ทีวีไทยกันทันทีค่ะ

ที่จริงจะว่าไปผลการตัดสินก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายนัก เพราะพอจะได้รับทราบกันไปแล้วจากหน้าหนังสือพิมพ์ว่าแนวทางการวินิจฉัยจะเป็นอย่างไร

แต่เรื่องการลงมติอย่างนี้ก็ต้องรอฟังวันจริงค่ะ ว่าผลจะเป็นเอกฉันท์หรือเปล่า เพราะคำตัดสินอาจจะออกมาเป็น 8:1 หรือ 7:2 หรือ 6:3 อย่างที่นักวิเคราะห์พูดกันล่ะคะว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ในการเมืองไทย

ผู้สื่อข่าวต่างชาติจากบีบีซี บอกว่าตอนนี้มึนงงกับสถานการณ์การเมืองไทย เพราะไม่เข้าใจว่าก็ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินไปแล้วว่านายสมัคร สิ้นความเป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว ทำไมถึงยังมีความพยายามดึงดันเพื่อจะให้นายสมัครกลับมาอีกครั้ง แสดงว่าไม่มีความเคารพต่อคำตัดสินของศาลเลยหรือ ????? ตอนนี้ให้วิเคราะห์ยังมองไม่ออกว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร

งานนี้ต้องติดตามความเคลื่อนไหวการเมืองไทยกันต่อค่ะ โดยเฉพาะจุดยืนของพรรคพลังประชาชน พรรคร่วมรัฐบาล และพรรคฝ่ายค้าน

อีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามในยามนี้ก็คือการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ

ไม่แน่นะคะ ถ้าตัดความรู้สึกแบ่งขั้วแยกข้างออกไปได้ แนวทางรัฐบาลแห่งชาติก็อาจจะช่วยแก้วิกฤติวุ่นวายทางการเมืองกันได้สักที

7.9.08

"ชัย ราชวัตร" : การเมืองยิ่งวุ่น สมองยิ่งแล่น



คลิ๊กชม VDO clip บทสัมภาษณ์คุณ "ชัย ราชวัตร" ตัวจริงเสียงจริงของ นักวาดการ์ตูนชื่อดัง กับคอลัมน์ "ผู้ใหญ่มา กับทุ่งมหาเมิน" หน้า 5 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คุณชัย วาดมาแล้ว 30 ปี และจะทำงานต่อไป ภาพวาดของคุณชัย เป็นข้อมูลสะท้อนประวัติศาสตร์การเมืองที่เกิดขึ้นในไทยได้เป็นอย่างดีค่ะ


ที่สำคัญคุณชัยบอกด้วยว่า จุดยืน ของตนคืออะไร และสำคัญอย่างไรกับความเป็นมืออาชีพ

6.9.08

อีกมุมของ สนธิ ลิ้มทองกุล

สัปดาห์นี้การเมืองเปลี่ยนแปลงมากมายเหลือเกินค่ะ ตั้งแต่การประกาศใช้พระราชกำหนดฉุกเฉินเมื่อวันที่ 2 กันยายน พอถึงวันศุกร์ที่ 5 กันยายน มีความพยายามที่จะแก้ปัญหาอีกระลอก โดยประธานวุฒิสภานายประสพสุข บุญเดช จะเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยกับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

สัปดาห์ที่แล้วดิฉันได้ไปสัมภาษณ์คุณสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หลายท่านคงจะได้ชมบทสัมภาษณ์ผ่านทางที่นี่ทีวีไทยไปแล้วเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคมค่ะ

ในบล๊อกมีอีกแง่มุมของคุณสนธิ ที่ดิฉันได้ถามถึงเรื่องการทำใจ กับแนวทางการต่อสู้ของพันธมิตร คลิ๊กวีดีโดคลิปดูค่ะ มีบรรยากาศการชุมนุมด้วย

ตอนนี้ต้องติดตามว่าทางฝั่งพันธมิตรและรัฐบาลจะยอมถอยบ้างมั้ย เพื่อเปิดให้มีการเจรจากัน ตามแนวทางที่หลายฝ่ายหวังว่าจะเกิดขึ้นได้โดยปราศจากความรุนแรง

เป็นอีกบทหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทยค่ะ

2.9.08

สนามสื่อ ใน สนามการเมืองแบบดุดุ

เป็นสัปดาห์ที่ต้องจารึกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยค่ะ กับการบุกยึดทำเนียบรัฐบาลของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม

วันอังคารที่ 2 กันยายน ก็จะครบ 7 วัน

ตอนนี้หลายฝ่ายต่างก็คาดเดากันไปต่างๆนานา ว่าจะจบลงอย่างไร แต่โดยมากไม่อยากเห็นความรุนแรง

ช่วงนี้สื่อมวลชนทำงานกันยากขึ้น เป็นความท้าทายในยามนี้

เมื่อวันพุธที่แล้วนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช บอกว่าถึงเวลาแล้วที่สื่อมวลชนต้องเลือกข้าง จะเป็นกลางไม่ได้

พอถึงวันอาทิตย์ในรายการสนทนาประสาสมัคร นายกรัฐมนตรีบอกว่าสื่อมวลชนต้องเลือกรายงานเกี่ยวกับฝ่ายหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งต้องให้เวลากับรัฐบาลด้วย แสดงว่านายกรัฐมนตรีกำลังหมายความว่าสื่อต้องเป็นกลาง!?!

ช่วง 6 วันที่ผ่านมา ทีมงานต้องอยู่กันดึกๆกว่าปกติติดต่อกันเกือบทั้งสัปดาห์ค่ะ และก็หนีไม่พ้นที่จะได้ช่วยกันรับโทรศัพท์จากทางบ้านที่โทรเข้ามาแสดงความคิดเห็น

ชัดเจนว่า ผู้ดูมักจะมองว่าทีวีไทยเลือกข้าง แต่ที่แปลกและอาจจะไม่น่าแปลกในคราวเดียวกันคือ ผู้ดูแบ่งออกเป็นสองฝ่ายค่ะ คือฝ่ายที่บอกว่าทีวีไทยเข้าข้างพันธมิตร และฝ่ายที่บอกว่าทีวีไทยเข้าข้างรัฐบาล

ทั้งสองฝ่ายต่างไม่พอใจ ทีวีไทย !!!

นอกจากจะต้องผ่านการตรวจสอบตลอดเวลาจากผู้ดูแล้ว การทำงานระหว่างทีมงานก็ใช่ว่าจะราบรื่นค่ะ

เพราะทุกฝ่ายต่างตรวจสอบ ระแวดระวังกันอยู่ในที ในประเด็นที่นำเสนอ

การทำงานทีวี ที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันอย่างยิ่งยวด สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จึงเป็นบททดสอบความคิด การทำงาน การปรึกษาหารือ และการประสานงานร่วมกันของทีมงานทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน อย่างหนักหน่วงจริงๆค่ะ

แน่นอนค่ะมีการกระทบกระทั่งกันทางความคิด

ดิฉันคิดว่า จุดยืนแต่ละคนมีได้ และไม่น่าจะมีการบังคับให้ต้องเห็นเหมือนกัน เพราะความแตกต่างหลากหลายย่อมแฝงไปด้วยความงดงาม เหมือนป่าที่อุดมสมบูรณ์จะมีต้นไม้เพียงพันธุ์เดียวไม่ได้

แต่เมื่อต้องทำงานร่วมกัน ในภาวะที่ต้องแข่งกับเวลาก็อาจจะต้องละทิ้งความเห็นต่างไปบ้าง เพื่อให้ผลงานออกมามีคุณภาพที่สุดเท่าที่จะมากได้

ไม่เฉพาะความร่วมแรงร่วมใจระหว่างทีมงานที่ต้องพิสูจน์กันในยามนี้

สนามการแข่งขันในโลกภายนอกก็ช่างดุเดือดยิ่งนัก

24.8.08

อังกฤษ รับไม้ต่อจากจีน เจ้าภาพโอลิมปิคปี 2012

ตอนนี้ยืนยันแล้วนะคะว่า นายกรัฐมนตรีอังกฤษกอร์ดอน บราวน์ ภริยา และลูกชายสองคน ไปอยู่ที่กรุงปักกิ่งแล้ว เพื่อเตรียมร่วมพิธีปิดโอลิมปิคเกมส์ โดยอังกฤษเป็นเจ้าภาพจัดงานในอีก 4 ปีข้างหน้า

สายสัมพันธ์ระหว่างประเทศต้องพ่ายแพ้ต่อกระแสต่อต้านจากการเมืองภายในอังกฤษเองค่ะ

ก่อนหน้านี้พรรคฝ่ายค้านของอังกฤษส่งจดหมายถึงนายบราวน์ บอกว่าไม่เห็นด้วยที่ผู้นำอังกฤษจะไปร่วมงานที่ประเทศจีน เพราะเห็นว่าจีนมีปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชน
ผู้นำอังกฤษก็คงตัดสินใจลำบากค่ะงานนี้ ไม่ไปกรุงปักกิ่งก็จะดูไม่ให้เกียรติจีนมากเกินไปหน่อย บราวน์เองบอกว่า ต้องการ 'reengagement' หรือ 'กลับไปมีส่วนร่วม' กับจีน
เชื่อว่าอังกฤษเองก็คงจะหนาวๆร้อนๆกับการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันครั้งหน้า แต่นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน บอริส จอห์นสัน ที่จะมาร่วมในพิธีปิดด้วยบอกด้วยความเชื่อมั่นว่า อังกฤษไม่กลัวหรอกที่เห็นพิธีเปิดที่ยิ่งใหญ่ของจีน และในพิธีปิดได้เตรียมอุ่นเครื่องโดยจะมีเวลาให้ได้แสดง 8 นาที เพื่อเป็นน้ำจิ้ม ก่อนที่จะแสดงจริงในปี 2012 ก็ต้องดูนะคะที่ว่าจะนำรถเมล์สองชั้นสีแดงที่เป็นสัญลักษณ์เข้ามาในสนามกีฬารังนกในพิธีปิดจะน่าตื่นเต้นแค่ไหน แล้วคุณพี่เบคแฮม อดีตกัปตันทีมชาติจะเข้าไปเตะบอล เพื่อเรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนๆ ในการรับเป็นเจ้าภาพต่อค่ะ
คืนนี้หมายมั่นไว้แล้วว่าจะต้องดูพิธีปิดให้ได้ค่ะ

18.8.08

นักประชาสัมพันธ์ระดับโลก ผู้จะ 'ปรุง' ภาพลักษณ์ อดีตผู้นำไทย

ตอนนี้สื่อของอังกฤษ เกาะติดเรื่องราว
ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย พันตำรวจโททักษิณ
ชินวัตร กันในหลายแง่มุมค่ะ

หนังสือพิมพ์ the independent ของอังกฤษก็เกาะติดเรื่องนี้หลายวันแล้วค่ะ

มุมหนึ่งที่ถูกพูดถึงกันมากก็คือเรื่องว่าจ้างนักประชาสัมพันธ์ชั้นนำมาดูแลทั้งภาพลักษณ์ และการสื่อสารกับสื่อมวลชน

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักการเมืองจะว่าจ้างนักประชาสัมพันธ์ค่ะ โดยเฉพาะในสังคมตะวันตกนี่ถือว่าเรื่องธรรมดามากที่จะต้องควบคุมข่าวสารที่จะเผยแพร่ผ่านสื่อ

Lord Bell ที่มีกระแสข่าวว่าคุณทักษิณกำลังเจรจาโดยตรงนั้น มีกระแสว่าค่าตัวแพงลิ่ว และเคยสร้างผลงานมาแล้วกับการให้คำแนะนำหญิงเหล็ก 'iron lady' นางมากาเร็ต แธทเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีเมืองผู้ดี ในเรื่องเสื้อ ผ้า หน้า ผม และการให้สัมภาษณ์กับสื่อ และช่วยให้ชนะการเลือกตั้งทั่วไปถึงสามสมัย

The Independent รายงานว่า คุณทักษิณ ต้องการให้ Bell Pottinger North เข้ามาดูแลเรื่องความเป็นประธานสโมสร Manchester City คุณทักษิณก็คงจะห่วงภาพพจน์ตนเองล่ะค่ะ ยิ่งมีข่าวว่าแฟนๆไม่ค่อยชอบหน้า แถมผู้จัดการทีมอย่างมาร์ค ฮิว ก็ไม่ค่อยปลื้มเท่าไร

งานนี้ต้องพึ่งนักประชาสัมพันธ์ระดับโลก เพื่อโฆษณาทั้งภาพลักษณ์ ทั้งวิสัยทัศน์ ให้กับแฟนๆ เรือใบสีฟ้า

กรณีของอดีตนายกรัฐมนตรีมหาเศรษฐีของไทยคนนี้จะยังถูกจับตามองโดยสื่อไทย และเทศ ไปอีกสักพักใหญ่ๆล่ะค่ะ เพราะการขอส่งตัวกลับมาเมืองไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนคงใกล้จะเริ่มต้น

คงจะได้เห็นชั้นเชิง การชิงไหวชิงพริบ ของ ทางการไทย นักกฎหมายไทย นักประชาสัมพันธ์ระดับโลก และอดีตนักการเมืองผู้โดนหมายศาลผู้นี้ ตามกันให้ดีค่ะ

17.8.08

สื่อสาธารณะ กับ สื่อของ "รัฐ"

อย่างน้อยก็ 3-4 สัปดาห์แล้วค่ะ ที่นายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช พาดพิงถึงทีวีไทย ทีวีสาธารณะ ในรายการ “สนทนาประสาสมัคร” ที่ออกอากาศทางช่อง NBT ทุกเช้าวันอาทิตย์

วันอาทิตย์นี้ คุณสมัครพูดถึง “ช่อง 6 ที่ได้งบปีละ 2,000 ล้านบาท” และแสดงท่าทีไม่พอใจรายงานที่ออกอากาศทางทีวีไทย เรื่องการประท้วงของเด็กนักเรียนโรงเรียนโยธินบูรณะต่อการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ โดยบอกว่าอย่างไรก็ต้องสร้างอาคารรัฐสภาและไม่ใช่เรื่องที่เด็กๆจะมาประท้วงเพราะโรงเรียนจะย้ายออกไปไกลเพียง 1,700 เมตรจากที่ตั้งในปัจจุบัน

นายกรัฐมนตรีคงจะลืมไปว่า นักเรียนมีสิทธิ์ที่จะแสดงออกทางประชาธิปไตย เพราะนักเรียนไม่ได้รับการปรึกษาหารือก่อนเลยเรื่องการเปิดทางให้สร้างอาคารรัฐสภาใหม่บนพื้นที่ของโรงเรียน

ที่สำคัญทีวีไทยไม่ได้สร้างสถานการณ์ หรือไม่ได้จัดฉากให้นักเรียนประท้วง แต่ทีวีไทยเพียงทำหน้าที่รายงานข่าว สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้น ตามเจตนารมณ์ของการก่อตั้งสถานีโทรทัศน์สาธารณะ

นอกจากนั้น คุณสมัคร ยังกล่าวถึงรายการ “ความจริงวันนี้” ทางช่อง NBT ว่าเป็นรายการที่มีคุณภาพ คลาสสิค ผิดกับช่อง ASTV ที่มีเนื้อหาโจมตีรัฐบาล

ตอนปิดท้ายรายการสนทนาประสาสมัคร นายกรัฐมตรียังพูดด้วยว่าเมื่อมีสถานีอย่าง ASTV ก็จำเป็นที่จะต้องมีการตอบโต้จากทางรัฐบาล จึงน่าจะสมเหตุสมผลที่มีรายการความจริงวันนี้ และมีรายการสนทนาประสาสมัครทุกวันอาทิตย์

คุณสมัครอาจจะลืมไปอีกเช่นกันว่าช่อง NBT นั้นเป็นช่องของ “รัฐ” (ซึ่งหมายถึงของประชาชนไม่ใช่รัฐบาล) ที่จะต้องทำหน้าที่สื่ออย่างตรงไปตรงมา และไม่ควรจะเป็นพื้นที่ที่ให้รัฐบาลหรือผู้สนับสนุนรัฐบาลนำมาโจมตีกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับตน

เมื่อคุณสมัครพูดถึงความไม่ชอบมาพากลของ ASTV ซึ่งเป็นสถานีเคเบิล จะไม่สมควรกว่าหรือที่จะใช้สถานีพีทีวี ซึ่งเป็นสถานีดาวเทียมเช่นเดียวกับ ASTV และไม่ได้ใช้ภาษีประชาชน ตอบโต้ แทนที่จะมาใช้เวลาและพื้นที่ของสื่อของรัฐอย่าง เอ็นบีที มาเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจรัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว

น่าสงสัยนะคะว่านายกรัฐมนตรี เข้าใจอุดมการณ์ของการก่อตั้งสถานีโทรทัศน์สาธารณะหรือไม่ เพราะถ้าหากคุณสมัครเข้าใจก็จะรู้ว่าทุกสังคมประชาธิปไตยต้องการให้มีสื่อโทรทัศน์ที่ไม่อยู่ภายใต้อาณัติของนักการเมืองและอิทธิพลทางธุรกิจ เพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่รับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง

การก่อเกิดของไทยพีบีเอส อาจจะไม่เป็นที่พอใจของนักการเมืองที่ต้องการสั่งสื่อทีวีให้ซ้ายหันขวาหันได้ อย่างที่เคยเป็นมา แต่ไทยพีบีเอส เมื่อทำหน้าที่ของตนอย่างซื่อสัตย์ก็จะเป็นเครื่องมืออันสำคัญของประชาชนในการติดตามข่าวสารและเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการรักษาระบอบประชาธิปไตยของประเทศ

และนี่คือข้อแตกต่างระหว่างไทยพีบีเอสกับช่องเอ็นบีที อย่างชัดเจนที่สุด















15.8.08

มีลุ้นกับ...ประตู


เกิดเหตุฉุกละหุกกับประตู ก่อนออกอากาศรายการที่นี่ทีวีไทย เมื่อคืนนี้ค่ะ
ทุกคืนก่อนออกรายการ ดิฉันต้องหาเวลาอยู่เงียบๆ ทำสมาธิ เตรียมบท ทำความเข้าใจกับเรื่องราวที่จะนำเสนอในห้องทำงาน (ของ บก.บห. ที่กรุณาอนุเคราะห์สถานที่)
ทำอย่างนี้ทุกวัน กับ 2 เดือนครึ่งของการออกอากาศ
มามีเรื่องให้ต้องลุ้นกันก็เมื่อคืนนี้ล่ะคะ กับเวลาสองทุ่ม 40 นาที ที่ดิฉันจะต้องเดินออกจากห้อง เพื่อไปเข้าห้องส่ง
ปรากฏว่าเปิดประตูไม่ออก ?!? เปิดอย่างไรก็ไม่ออก ลองอยู่คนเดียวอยู่สักพัก บิดซ้าย บิดขวา ลูกบิดก็ไม่ทำงาน ดูแล้วเหมือนประตูจะล๊อคไปเองโดยอัตโนมัติ หรือล๊อคประตูเสีย ก็ไม่แน่ใจ
ดิฉันล่ะเริ่มหวั่นใจ กลัวจะไปเข้ารายการไม่ทัน คิดกังวลไปต่างๆ นาๆ ว่า ถ้าไม่ทันจะทำอย่างไร ตอนปิดก็ปิดปกติเหมือนทุกคืน
โชคยังดี๊ดีที่ติดโทรศัพท์มือถือไว้ด้วย เลยต้องโทรหาทีมงาน ขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
นึกสภาพว่าถ้าเกิดขึ้นตอนกลางวันก็น่าจะโล่งใจกว่านี้ เพราะอาจจะตามช่างกุญแจได้ทัน
ทีมงานแข็งขันมากค่ะ ได้ยินทั้งเสียงพี่ยาม พี่แม่บ้าน โปรดิวเซอร์ ทั้งบรรณาธิการ ลุ้นกันยกใหญ่ พี่ยามต้องไปค้นพวงกุญแจมาหลายสิบดอก ลองที่ละดอก ทีละดอก
ตัวดิฉันก็ลองบิดลูกบิดจากข้างในไปด้วย พร้อมกับไหว้พระ สวดมนต์ไปด้วยในตัว ตั้งสมาธิว่าขอให้ออกไปได้เถอะ สาธุ สาธุ สาธุ
อึดใจ....อึดใจเดียวเท่านั้น (ที่จริงลุ้นกันอยู่ร่วม 10 นาที) เสียงประตูก็คลิ๊ก เหมือนเป็นเสียงสวรรค์ ที่ได้เห็นหน้าเพื่อนร่วมงานกันอีกครั้ง
ถอนหายใจกันอย่างโล่งอกค่ะ รอดตัวไปแบบฉิวเฉียดได้ขึ้นไปห้องส่งทันเวลา!
ลูกบิดประตูก็กลายเป็นบทเรียนสำคัญ ว่าต้องระวังกันทุกจังหวะ สำหรับการออกรายการแบบสดๆทุกคืน จะปิดจะเปิดประตูไหน ก็ต้องดูให้ดี มิเช่นนั้นจะต้องลุ้นกันหัวใจเต้นแบบสุดๆค่ะ
Anything can happen....and you never know...จริงๆค่ะงานนี้

10.8.08

คุยกับ "เคนโป" เคล็ดลับสร้างความสุข




วันนี้ ดิฉันมีโอกาสได้คุยกับพระอาจารย์ Khenpo Phuntsok Tashi โอกาสมาเยือนเมืองไทยค่ะ


คลิ๊กชม vdo clip ข้างบน ถอดคำสนทนา Khenpo (พระอาจารย์) พระชาวภูฏาน


ถามท่านเรื่องเคล็ดลับของการสร้างความสุขให้กับชีวิต และคำแนะนำเรื่องการนั่งสมาธิค่ะ


เคนโป บวชมาตั้งแต่อายุ 26 ปี ตอนนี้รวมแล้วก็บวชได้ 17 ปีแล้ว ท่านอารมณ์ดี และพูดคุยอย่างเป็นกันเองมากค่ะ ท่านให้คำแนะนำเรื่องการใช้ชีวิตแบบไม่เบียดเบียนผู้อื่น คือต้องเสริมสร้าง ความไม่รุนแรง ความพึงพอใจในชีวิตและ สันติภาพในจิตใจ เป็นแนวทางของ Gross National Happiness (GNH) ที่ภูฏาน ผลักดันมา 35 ปีแล้ว และตอนนี้หลายๆชาติได้เริ่มเข้าไปดูงานแล้วรวมทั้งตัวแทนจากประเทศไทยด้วย


ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะภูฏาน มีภูมิประเทศที่เอื้อต่อการทำสมาธิ เพราะเต็มไปด้วยความสงบแห่งขุนเขา ผู้คนก็ไม่มากค่ะ 700,000 คนทั้งประเทศ


ส่วนหนึ่งที่ผู้คนอารมณ์ดีน่าจะเป็นเพราะได้อยู่ใกล้ชิดพระพุทธศาสนา พระกับคนภูฏานไม่ได้แยกจากกันค่ะ จะเห็นพระอยู่ทั่วไปในประเทศและทำกิจกรรมต่างๆกับชาวบ้านในชีวิตประจำวันได้ อย่างเช่นสอนหนังสือให้คนขับรถแท๊กซี่ด้วย


เคนโป บอกว่าแม่ของท่านอายุ 73 ปีแล้ว แต่ยังไหว้พระแบบอัษฎางคประดิษฐ์ (prostration) คือเหยียดตัวราบ แล้วให้อวัยวะ 8 อย่างแตะพื้น คือหน้าผาก แขน จมูก ฝ่ามือ ข้อศอก ลำตัว หัวเข่า และปลายเท้า แล้วลุกขึ้นมาใหม่โดยไม่ยกเท้าจากพื้น แม่ของเคนโป ทำอย่างนี้ทุกเช้าวันละ 300 ครั้ง

ส่วนเคนโป เคยทำมาแล้ว 200,000 ครั้งในระยะเวลา 3 เดือน


เป็นการฝึกสมาธิและออกกำลังกายไปในตัวอย่างดีเยี่ยมค่ะ


เคนโป บอกว่าอยากจะลองทำท่านี้จากสนามบินของไทยติดต่อกันสัก 2 ชั่วโมง!!!! สงสัยจะยากแล้วค่ะ ภูมิศาสตร์ไม่อำนวยค่ะ



สุดทึ่ง พิธีเปิดโอลิมปิค 2008





ผ่านพ้นไปแล้วนะคะ สำหรับพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคสุดแสนยิ่งใหญ่กับ "One World One Dream" งานนี้เจ้าภาพคงจะยิ้มแก้มปริไปอีกนานหลายๆปีค่ะ การแสดงในวันเปิดสมกับที่อุบไว้เป็นความลับจริงๆ คนดูต้องนั่งเฝ้าหน้าจอเพราะไม่อยากจะคลาดสายตากับบรรยากาศมหกรรมกีฬาอันอลังการแห่งมวลมนุษยชาติ

ไม่เสียชื่อ จาง อี้ โหม่ว ผู้กำกับชาวจีนชื่อดังที่อยู่เบื้องหลังการแสดง ดิฉันชื่นชอบภาพยนต์ของผู้กำกับท่านนี้มากๆค่ะ พยายามตามดูเกือบทุกเรื่อง ที่โปรดปรานมากก็เรื่อง Heroes ชอบการถ่ายทำแบบเนียนๆ เน้นสีสันจัดจ้าน และความละเมียดละไมของการเล่าเรื่อง

ขอสารภาพว่าไม่ได้นั่งดูพิธีเปิดตลอดหรอกค่ะ พลาดไปหลายช่วง เพราะต้อง

เตรียมรายการไปด้วย แต่ก็พยายามหันไปมองจอทีวีบ้าง กลัวจะพลาดช่างสำคัญๆ

ยังดีค่ะที่ไม่พลาดตอนจุดคบเพลิงโอลิมปิคตอนสุดท้าย เห็นคุณ Li Ning เหาะอยู่บนสเตเดี้ยมรังนก แล้วก็อดทึ่งไม่ได้ กับคุณพี่จางอี้โหม่ว ที่กำกับพิธีเปิดกีฬา ซะเหมือนกับหนังกำลังภายในเลย

ต้องขอย้อนกลับไปนั่งดูพิธีเปิดแบบเต็มๆอีกรอบแล้วล่ะค่ะ ไม่อยากพลาดของดีระดับโลก จะได้เป็นบุญตาไปอีกนานๆ








8.8.08

Aung Zaw นักเคลื่อนไหวพม่า กับ George Walker Bush

ต้องมองกันไปล่วงหน้าค่ะ ว่าแต่ละวันจะ
รายงานพิเศษเรื่องอะไร จะต้องสัมภาษณ์ใคร และยิ่งถ้ามีงานใหญ่ระดับนานาชาติ
ที่ผู้นำสหรัฐและภริยา มาเยือนไทยช่วง 6-7 สิงหาคมนี้ กระจิบข่าวทั้งหลายต้องตามหากันค่ะว่า ประธานาธิบดีสหรัฐจะไปไหน และจะคุยกับใคร

มาครั้งนี้เห็นได้ชัดว่า พม่า กลายเป็นเรื่องสำคัญมากๆ โดยเฉพาะสำหรับลอร์ร่า บุช ที่สนใจและเห็นใจพม่ามากเป็นพิเศษ

ในขณะที่ประธานาธิบดีบุช มีกำหนดถกกับนักเคลื่อนไหวพม่า 11 คนที่สถานทูตสหรัฐ ช่วงกลางวันวันที่ 7 สิงหาคม โชคดีมากค่ะที่ดิฉันเพิ่งได้พบกับออง ซอ บรรณาธิการอิระวดี (คนในภาพ) เมื่อสัปดาห์ก่อน และคุณออง ซอ บอกว่าจะได้เจอกับบุช ดิฉันเลยถือโอกาสนัดแนะล่วงหน้า เพื่อซักถามเพิ่มเติมบรรยากาศการหารือกับผู้นำสหรัฐ

ไม่ใช่เรื่องง่ายค่ะที่จะได้นั่งโต๊ะ รับประทานอาหารกลางวันพร้อมกับผู้นำระดับโลกอย่างนี้ แต่นักเคลื่อนไหวก็มากัน 9 คนแทนที่จะเป็น 11 คน

ออง ซอ ได้นั่งติดประนาธิบดีสหรัฐด้วย เขาชื่นชมจอร์จ บุช มากเป็นพิเศษ เพราะไม่คิดว่าผู้นำมหาอำนาจอย่างคุณบุช จะเป็นกันเองมาก บุชสร้างบรรยากาศสบายๆ ทำให้คนที่นั่งร่วมโต๊ะไม่เกร็ง เรียกว่าเป็นเสน่ห์ส่วนตัวของผู้นำสหรัฐทีเดียว

งานนี้จอร์จ บุช ได้คะแนนนิยมไปเยอะค่ะ แต่มุขที่ดิฉันคิดว่าบุชโกยความประทับใจไปได้มาก ก็ตอนที่ออกตัวตั้งแต่เริ่มแรกเลยว่า "คราวนี้ผมพูดชื่อ ออง ซาน ซูจี ไม่ผิดแล้วนะ"

เรื่องชื่ออองซาน ซูจี กลายเป็นประเด็นระดับโลก คราวที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค เมื่อ 5 ปีก่อน เพราะงานนั้นประธานาธิบดีบุช พูดชื่อผู้นำต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่าว่า "ออง ซี ซูจาน" เลยกลายเป็นประเด็นที่ถูกล้อมาจนวันนี้ค่ะ

เมื่อช่วงเช้าของการแถลงยุทธศาสตร์สหรัฐกับเอเชีย ก็ไม่วายโดนแซวว่าพูดคำว่า "เสรีไทย" เป็น "ซอร์รี่ไทย"

โถ จับผิดผู้นำสหรัฐกันจริง อย่างน้อยคราวนี้พูดคำว่า "สวัสดีครับ" ชัดล่ะค่ะ (ฮา) ^-^

6.8.08

ลอร์รา บุช กระตือรือร้นเรื่องพม่า



Laura Bush กับ พม่า

คลิ๊กชม วีดีโอเรื่องเกี่ยวกับพม่า และคำให้สัมภาษณ์ของลอร์ร่า บุช สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐ ภริยาของประธานาธิบดีบุชค่ะ เป็นคลิปวีดีโอจาก Voice of America (VOA) ที่ทำขึ้นหลังพายุไซโคลน นาร์กิส ถล่มพม่าไปเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม


ลอร์ร่า บุช สนอกสนใจประเด็นพม่า และให้ความสำคัญอย่างจริงจัง อาจจะเป็นเพราะด้วยความเป็นสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐ ที่ต้องโดนจับตามอง และอยู่ในแวดวงการเมืองนานเกือบ 8 ปี ในช่วงที่สามีเป็นผู้นำประเทศ ความที่อยู่ในวังวนการเมืองอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลอร์ร่า บุช เห็นใจนางออง ซาน ซูจี นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่าเป็นอย่างมาก


สำหรับดิฉัน การเคลื่อนไหวของลอร์ร่า บุช มีความสำคัญมากในเชิงสัญลักษณ์ และอาจจะเรียกได้ว่าเธอ "ขโมยซีน" จากสามี ไปได้ในช่วงปีนี้ เพราะความแข็งขันในเรื่องพม่า

วันพฤหัสบดีนี้ ลอร์ร่า บุช จะไปพบกับ คุณหมอซินเธีย หม่อง ผู้ดูแลผู้อพยพชาวพม่า ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ตอนนี้นักเคลื่อนไหวชาวพม่าก็ฝากความหวังว่าการเยือนไทยครั้งนี้จะช่วยยกระดับเรื่องพม่าในประชาคมโลก เพื่อให้ร่วมกันกดดันรัฐบาลทหารพม่ามากขึ้นค่ะ

นอกรอบ ที่นี่...ทีวีไทย

เป็นความสนุกและท้าทายกับการทำงานในแต่ละวันมากๆๆๆ ค่ะ เรื่องใหญ่และหัวใจของแต่ละวันก็คือ "ประเด็น" ในการนำเสนอ คำว่าประเด็นนี่สำคัญมาก เพราะเป็นคำถามแรกที่ บรรณาธิการจะต้องถามนักข่าวก่อนเสมอว่า ประเด็นคืออะไร หลายครั้งที่เล่ารายละเอียดกันได้ แต่พอถามถึงประเด็น หรือ "หัวใจ" ของเรื่อง แล้วเกิดอาการหลงทาง ตอบกันไม่ถูก

แต่ละคืน ทีมงานก็จะต้องคิดถึงประเด็นในการนำเสนอก่อนค่ะ และจะต้องพยายามขยายความจากข่าวประจำวัน เพราะทีนี่ ทีวีไทย ตั้งเป้าว่าจะต้องอธิบายที่มาที่ไปของประเด็นร้อนในแต่ละวัน

ตรงนี้ล่ะคะที่เป็นความยาก และท้าทาย กับแต่ละวัน

อย่างวันนี้ก็ต้องพยายามมองกันไปล่วงหน้า เพราะว่าผู้นำสหรัฐกับภริยากำลังจะมาถึงเมืองไทย เป็นงานใหญ่ระดับระหว่างประเทศที่ไม่ได้มีผู้นำระดับโลกอย่างนี้มาเยือนไทยบ่อยๆ ก็ต้องคิดกันล่วงหน้าล่ะคะ ว่าจะนำเสนออย่างไรเพื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้ชมให้มากที่สุด

ทั้งจอร์จ บุช กับ ลอร์ร่า บุช เป็นบุคคลที่ผู้คนให้ความสนใจอยู่แล้ว ทีมงานก็ต้องมานึกถึงรูปแบบการนำเสนอว่าจะทำอย่างไรให้เรื่องมีสีสัน และได้สาระมากกว่าที่จะเล่าว่า เขามาแล้วจะไปทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร ก็ต้องพยายามตอบกันต่อให้ได้ว่าอย่างไร และ ทำไม

นี่ละคะ คำถามที่ต้องพยายามหาคำตอบกับ "อย่างไร" และ "ทำไม"

แต่ยังไม่พอนะคะ ต้องถามต่อด้วยว่า "เกี่ยวกับคนไทยตรงไหน"

ตอบคำถามแนวนี้ได้ ก็พอจะเป็นที่มาของ "ประเด็น" ได้บ้างแล้วล่ะค่ะ

5.8.08

Grand Theft Auto (GTA) เกมเจ้าปัญหา?

กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันทีกับเกมคอมพิวเตอร์ off-line, Grand Theft Auto (GTA) พอเด็กวัยรุ่นวัย 19 ปี ยอมรับว่าต้องการเลียนแบบเนื้อหาในเกม เลยฆ่าคนขับรถแท๊กซี่

เกิดคำถามตามมามากมายค่ะว่า เนื้อหาในเกมที่แสดงความรุนแรง กลายเป็นตัวเร้าสำคัญที่ทำให้เด็กวัยรุ่นตัดสินใจก่อเหตุได้ขนาดนี้หรือ

แต่แพทย์เองมองว่าเรื่องนี้จะไปโทษเกม อย่างเดียวก็ไม่ถูก เพราะว่ามีปัจจัยอื่นๆอีกมากที่กระตุ้นให้เด็กก่อความรุนแรง อาจจะเป็นเพราะปัญหากดดันภายในครอบครัว ที่เด็กหาทางออกไม่ได้ หรือคนรอบข้างไม่เข้าใจ

ทางออกที่วิเคราะห์กันก็มีหลายทางค่ะ อย่างเช่นพยายามหาทางกำจัดเกมเถื่อน เพราะ GTA เป็นเกมที่เรียกว่า off-line คือขายกันเป็นแผ่นๆแล้วต้องนำเกมไปเล่นกับเครื่องคอมพิวเตอร์ถึงจะใช้ได้ เลยต้องเร่งกำจัดเกมเถื่อน

อีกด้านมองว่าต้องจัดอันดับเกม หรือ Game Rating ที่สหรัฐเกม GTA นี่ได้อันดับ AO (Adult Only) เด็กๆไปซื้อเองไม่ได้นะคะ

ถ้ากำจัดเกมเถื่อน พร้อมกับจัดอันดับ ก็อาจจะแก้ปัญหาไปได้พร้อมๆกันในคราวเดียว

ขึ้นอยู่กับว่าภาครัฐจะเอาจริงเอาจังแค่ไหนด้วย

แต่จะผลักภาระให้ภาครัฐ และตำรวจอย่างเดียวก็คงไม่พอค่ะ เพราะวิจารณญาณของวัยรุ่น และการดูแลของผู้ปกครองก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน

3.8.08

ไทย-สหรัฐ-จีน ความสัมพันธ์ที่ต้องสานต่อ



ดิฉันมานั่งนึกๆดูว่าเวลาพูดถึงสหรัฐอเมริกาจะคิดถึงอะไรก่อน สำหรับตัวเองก็หนีไม่พ้น หนังฮอลลีวู้ดกระแสหลัก ภาพยนตร์ซีรีส์ที่ฮิตติดลมบนอย่าง sex and the city, และ 24 กาแฟอย่าง Starbucks และสื่อดังๆอย่าง CBS, CNN,HBO และอื่นๆอีกมากมายที่เป็น 'สินค้า' ส่งออกจากสหรัฐที่เข้าไปครองใจคนไทยและทั่วโลกได้อย่างจัง

นี่ยังไม่รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ นครใหญ่ๆอย่าง New York, San Francisco, และ LA ที่โกยเงินจากนักท่องเที่ยวชาวไทยได้อย่างมากโขในแต่ละปี

นอกจากสินค้าส่งออกทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวแล้ว ยังมีปริมาณการค้าการลงทุนของนักลงทุนสหรัฐที่เข้ามาในไทย และสหรัฐเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของไทยด้วย


มีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนานในเชิงประวัติศาสตร์ค่ะ สำหรับไทยและสหรัฐ เพราะทั้งสองประเทศได้ทำสนธิสัญญาทางการค้ากันมาตั้งแต่ ค.ศ 1833 มาจนถึงปีนี้ก็ครบรอบ 175 ปีแล้ว

และวันที่ 6-7 สิงหาคมนี้ ประธานาธิบดีจอร์จ บุช และลอร์ร่า บุช สุภาพสตรีหมายเลยหนึ่ง จะเดินทางมาเยือนประเทศไทยก่อนที่จะไปร่วมพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิค ต่อที่ประเทศจีน

จากที่คุณสุทธิชัย หยุ่น บรรณาธิการอำนวยการเครือเนชั่น ไปสัมภาษณ์ผู้นำสหรัฐที่กรุงวอชิงตันมาแล้ว ทำให้ได้รู้กันค่ะว่า จอร์จ บุช เตรียมประกาศ "นโยบายยุทธศาสตร์" สำคัญต่อเอเชีย ที่ประเทศไทย ทางผู้นำสหรัฐย้ำถึงความเป็นมิตรประเทศของทั้งสอง เลยเลือกประเทศไทยเพื่อกล่าวสุนทรพจน์นี้
สัปดาห์หน้าก็จะมีเรื่องระหว่างประเทศใหญ่ๆอย่างน้อยสองเรื่องค่ะ ทั้งการมาเยือนของประธานาธิบดีบุช และการพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิคในวันศุกร์ที่ 8 เดือน 8 ปี 2008 ที่ทางการจีนทุ่มกันสุดตัวจริงๆสำหรับงานใหญ่ระดับโลกที่อาจจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในช่วงอายุของคนจีนคนหนึ่ง
ในยุคหลังนี้ที่คนจีนและละตินอเมริกาอพยพเข้าไปอยู่ในสหรัฐมากขึ้น และเริ่มมีพลังทางการเมืองมากขึ้นในสหรัฐ นโยบายการต่างประเทศของสหรัฐเริ่มหันเหให้ความสำคัญกับเอเชียมากขึ้น และยิ่งต้องให้น้ำหนักมากขึ้นกับตะวันออกกลางเพราะปัญหาในอิรัก ขณะที่ให้ความสำคัญกับยุโรปน้อยลงกว่าอดีตเป็นอย่างมาก
ในด้านหนึ่งสหรัฐพยายามคงบทบาทในฐานะมหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลก แต่ในยุคที่ประเทศจีนกำลังผงาดทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง
น่าสนใจว่าไทยเองจะเดินหน้านโยบายต่างประเทศต่ออย่างไร และจะวางตัวเช่นไร ในยุคที่สหรัฐกับจีน กำลังคานอำนาจกันอย่างถึงพริกถึงขิง



31.7.08

สื่อต่างชาติเกาะติด ตัดสินคดีเลี่ยงภาษีหุ้นชินวัตร

รับทราบกันไปแล้วนะคะ สำหรับคำสั่งศาลอาญาที่ตัดสิน
จำคุกคุณหญิงพจมาน ชินวัตร และนายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ พี่ชายบุญธรรม 3 ปี และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวเป็นเวลา 2 ปี เพราะมีความผิดฐานหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีอากรบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น 546 ล้านบาท

บรรยากาศในห้องพิจารณาคดีที่จุคนได้เพียง 100 กว่าคนค่อนข้างเคร่งเครียด
พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมลูกชายและลูกสาวสองคนร่วมนั่งฟังในห้องพิจารณาด้วย

สังเกตดูเจ้าหน้าที่ของศาลที่ควบคุมการถ่ายทอดทางโทรทัศน์วงจรปิด คงจะเข้าใจอารมณ์ของผู้ที่อยู่ในห้องพิจารณา และผู้ชมทางบ้านได้เป็นอย่างดี เลยจับภาพได้ทั้งสีหน้าและท่าทาง ของทั้งคุณหญิง และครอบครัว

สำนักข่าวรอยเตอร์และบีบีซี เห็นถึงความนิ่งของคุณหญิงค่ะ โดยรายงานว่าพอผู้พิพากษาอ่านจบ คุณหญิงพจมานไม่ได้แสดงอาการอะไร และเป็นฝ่ายเดินไปตบแขนพันตำรวจโททักษิณ เพื่อให้กำลังใจ ทั้งๆที่ตนถูกตัดสินจำคุก 3 ปี

สำนักข่าวเอเอฟพี ตั้งข้อสังเกตด้วยว่าคำตัดสินของศาลอาญาในครั้งนี้จะเป็นการสร้างความยากลำบากให้กับอดีตนายกรัฐมนตรี โดยคำตัดสินเป็นการดำเนินคดีทางกฎหมายเป็นคดีแรก ในหลายๆคดีที่พันตำรวจโททักษิณและคนวงในถูกฟ้องร้อง

คดีนี้ยังไม่จบค่ะ เพราะทางจำเลยจะยื่นฟ้องศาลอุทธรณ์ต่อไป ภายในเวลา 1 เดือน ต้องติดตามกันต่อว่าจะลงเอยแบบไหน

น้ำมันถั่วเหลืองขึ้นราคา?

พรุ่งนี้น่าจะชัดเจนขึ้นแล้วค่ะว่า เราจะต้องจ่ายเงินซื้อน้ำมันถั่วเหลืองแพงขึ้นหรือเปล่า วันนี้ดิฉันได้คุยกับคุณเศรษฐสรร เศรษฐการุณย์ นายกสมาคมผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลือง (คลิ๊กชมคลิปวีดีโอ ข้างบนได้ค่ะ) คุณเศรษฐสรรเล่าให้ฟังว่าได้ยื่นเรื่องให้กรมการค้าภายในทราบแล้ว และในเบื้องต้นกระทรวงพาณิชย์ตกลงแล้วแต่ว่าขอดูรายละเอียดก่อนตัดสินใจว่าจะให้ขึ้นเมื่อไร

ถ้าเป็นอย่างที่นายกสมาคม บอกจริงแสดงว่าคำถามตอนนี้คือจะขึ้นราคาเมื่อไร ไม่ใช่จะขึ้นราคาหรือไม่

ก็ต้องติดตามกันต่อล่ะคะ ว่าน้ำมันถั่วเหลืองจะแพงขึ้นมั้ย ในช่วงนี้ที่น้ำมันดิบเริ่มถูกลงบ้าง

น้ำมันถั่วเหลืองที่แพงขึ้น เพราะว่าไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองจากสหรัฐ บราซิล และอาร์เจนติน่า โดยไทยปลูกถั่วเหลืองได้เพียง 10 เปอร์เซนต์ ของปริมาณการใช้ในประเทศ

ดิฉันสอบถามด้วยว่าแล้วทำไมผู้ผลิตน้ำนมถั่วเหลืองไม่เห็นขอขึ้นราคาบ้างเลย คุณเศรษฐสรรชี้แจงว่า นมถั่วเหลืองใช้ปริมาณเมล็ดถั่วเหลืองต่ำกว่าการผลิตน้ำมันถั่วเหลืองมาก ในแต่ละปีอาศัยการนำเข้าเพียง 30,000 กว่าตัน ขณะที่ผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองต้องซื้อเมล็ดถั่วเหลืองถึง 1.6 ล้านตัน

ผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองบอกว่าแบกรับภาระต่อไปไม่ไหวเพราะว่า ตอนนี้ถั่วเหลืองแพงขึ้นจากกิโลกรัมละ 11 บาท เป็น 22 บาท

นอกจากคนทั่วโลกจะแย่งกันใช้น้ำมันแล้ว ตอนนี้กำลังแย่งกันบริโภคถั่วเหลืองด้วย โดยเฉพาะกระแสความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นจากประเทศจีน

กระแสการแย่งชิงอาหารเริ่มรุนแรงขึ้นทุกขณะค่ะ แต่เรื่องใกล้ตัวอย่างน้ำมันถั่วเหลืองก็ต้องจับตากันว่าราคาจะแพงขึ้นหรือเปล่า

30.7.08

หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินถอนตัวพรรคร่วม และอดีตรมว ต่างประเทศ ชี้ทางออกปราสาทพระวิหาร

ตอนนี้ผู้สื่อข่าวทั้งหลายกำลังตามหาตัวคุณสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินกันอย่างจ้าละหวั่นค่ะ พอคุณสุวิทย์ประกาศลาออกจากพรรคร่วมรัฐบาลในช่วงเย็น ข่าวนี้ร้อนฉ่าขึ้นมาทันที กลบกระแสประเด็นอื่นๆมิด ทีมงานต้องปรับกระบวนเสนอข่าวกันแบบแทบไม่ทันตั้งตัว




แต่การลาออกหนนี้อาจจะไม่ได้เหนือความคาดหมายเท่าไรนัก เพราะมีการวิเคราะห์กันว่า ในการปรับคณะรัฐมนตรีที่จะมีขึ้นในอีกวันสองวันข้างหน้า หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินอาจจะหลุดจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ก็อาจจะเหลือเพียงบทบาทรัฐมนตรีว่ากระทรวงอุตสาหกรรม

คงจะเป็นเพราะทราบทิศทางลมเลยชิงลาออกเสียก่อน แต่ข่าววงในก็ว่าสมาชิกพรรคเพื่อแผ่นดินไม่ได้รับรู้กับการตัดสินใจของหัวหน้าพรรค และในช่วงที่ผ่านมาคุณสุวิทย์เองก็ไม่ได้มีฐานอำนาจในพรรค ไม่ได้เป็นถุงเงิน และเป็น ส.ส. สอบตก เหตุเหล่านี้อาจจะทำให้สมาชิกพรรคเพื่อแผ่นดินไม่ได้ตบเท้าตามออกมาด้วย


ก็ต้องติดตามกันต่อไปค่ะว่า การลาออกหนนี้จะส่งผลกับพรรคเพื่อแผ่นดินอย่างไร และคณะรัฐมนตรีโฉมใหม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง



นอกจากความเคลื่อนไหวทางการเมืองแล้ว เรื่องปราสาทพระวิหารก็ยังต้องติดตามกัน คลิ๊กชมบทสัมภาษณ์คุณสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ


คุณสุรเกียรติ์ ชี้ว่าขณะที่ไทยกำลังเดินหน้าเจรจาระดับทวิภาคี ก็ไม่ควรลืมที่จะเปิดเกมรุกในเวทีพหุภาคีต่อไปด้วย โดยเฉพาะต้องเร่งตอบโต้คำร้องของกัมพูชาที่ส่งถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UN Security Council) โดยเนื้อหาตรงกับ บทที่เจ็ดในกฎบัตรของสหประชาชาติ เข้าทำนองว่าไทยคุกคามสันติภาพของกัมพูชา ทั้งๆที่ไทยคงทหารไว้ในพื้นที่ของไทย


อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มองจากมุมนักกฎหมายว่าถ้าไทยอยู่เฉยๆ กัมพูชาอาจจะใช้ประเด็นนี้ไปฟ้องร้องสหประชาชาติอีกในอนาคต


งานนี้ต้องเร่งตัดไฟเสียแต่ต้นลม



28.7.08

แถลงการณ์ร่วมทวิภาคี ไทย-กัมพูชา ประสานรอยร้าว


การประชุมระดับทวิภาคีไทย-กัมพูชา เข้าขั้นมาราธอน เพราะใช้เวลานานถึง 12 ชั่วโมง นายเตช บุนนาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและนายฮอร์ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพูชา ในที่สุดได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันนะคะ
ทั้งสองฝ่ายจะถอนทหารออกจากบริเวณชายแดนอย่างสันติ จะถอนกำลังออกจากวัดตรงบริเวณพื้นที่พิพาท และจะให้คณะกรรมการชายแดนร่วมทำงานกันต่อ เพื่อหาข้อยุติ
นับว่าเป็นถ้อยแถลงที่ออกมาในเชิงบวกมาก และพลิกสถานการณ์ระหว่างสองประเทศที่เข้าขั้นตึงเครียดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ตอนแรกลุ้นกันอยู่ทั้งวันนะคะว่าทั้งสองฝ่ายจะออกแถลงการณ์ร่วมได้หรือไม่ แต่เมื่อถึงขั้นพบกันแบบเต็มคณะและแถลงข่าวร่วมกันได้ก็นับว่าเหตุการณ์ตึงเครียดระหว่างสองประเทศคลี่คลายไปได้ระดับหนึ่ง
การประชุมระดับทวิภาคีเป็นการยกระดับจากเมื่อวันจันทร์ที่แล้ว ที่พลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ไปพูดคุยกับพลเอกเตีย บัน รัฐมนตรีกลาโหมของกัมพูชา ในการหารือของคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา
จากนี้ไปต้องติดตามชั้นเชิงรายละเอียดในการเจรจาในระดับผู้เชี่ยวชาญของทั้งสองประเทศว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะผลของการหารือในวันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการหาทางแก้ปัญหาร่วมกันเท่านั้นค่ะ