26.10.08

โอบามา vs แมคเคน: ศึกปะทะเท้าไฟ

ขับเคี่ยวกันทางความคิด และวาจา กันมานานหลายเดือน ถึงเวลาแล้วที่บารัค โอบามา ต้องดวลลีลา

เท้าไฟ กับ จอห์น แมคเคน เพื่อเตรียมความพร้อมเป็นผู้นำสหรัฐ....

ลีลาเหลือร้ายทั้งคู่!

23.10.08

ลีลาส่ายสะโพกของโอบามา

โค้งสุดท้ายหาเสียงเลือกตั้งสหรัฐ ผู้สมัครต้องทุ่มเทเต็มตัวค่ะ ใครขอให้ทำอะไรก็ต้องทำ

โดยเฉพาะถ้าเป็นคำขอจากพิธีกรตลกหญิงชื่อดังอย่าง Ellen DeGeneres ที่ขอให้โอบามามาร่วมรายการ และแถมยังแซวลีลาเต้นรำของโอบามาด้วยว่า อาจจะสู้ของภรรยามิเชลไม่ได้

งานนี้โอบามายอมแพ้ภริยาตัวเอง แต่มั่นใจมากๆว่ายักย้ายส่ายสะโพกได้เจ๋งกว่าแมคเคนแน่ๆ ^-^

เสียงตามสายจาก...ทักษิณ


ยามนี้พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร จะทำจะพูดอะไรก็ยิ่งเป็นข่าวค่ะ โดยเฉพาะหลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินให้จำคุกอดีตนายกรัฐมนตรีจำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตจัดซื้อทีดินรัชดา

จากคำให้สัมภาษณ์เมื่อสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา กับสำนักข่าวรอยเตอร์ คุณทักษิณ บอกว่า กำลังหารือกับทีมที่ปรึกษากฎหมาย เกี่ยวกับการยื่นอุทธรณ์ในคดีที่ดินต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คุณทักษิณบอกว่า

"ไม่ออกแถลงการณ์แล้ว แต่ผมจะ phone in เข้ามาพูดกับประชาชน ประมาณ 20 นาที"

หมายถึงว่า จะโทรศัพท์จากต่างประเทศมาคุยกับผู้ร่วมชุมนุมของรายการความจริงวันนี้สัญจร ที่ใช้ชื่อ
"ความจริงวันนี้ ต้านรัฐประหาร" ในวันที่ 1 พฤศจิกายน

คุณทักษิณพูดถึงเรื่องการขอลี้ภัยด้วย ที่ก่อนหน้านี้เคยมีรายงานว่ากำลังทำเรื่องขอลี้ภัยอยู่ แต่คุณทักษิณพูดอีกแบบ โดยบอกว่า "เรื่องลี้ภัยไม่มี เพราะใช้วีซ่านักท่องเที่ยวอยู่ ผมเดินเข้าออกอังกฤษประจำ ผมได้รับเชิญให้ไปเป็นที่ปรึกษาในหลายประเทศ บางทีก็เสนอให้ไปอยู่ด้วย บางทีเสนอให้เป็นที่ปรึกษาแก้ปัญหาความยากจน"

แต่ที่ชัดเจนเห็นจะเป็นเรื่องจังหวะที่จะรอกลับประเทศไทย แสดงให้เห็นว่าคุณทักษิณชัดเจนย้ำจุดยืนเดิมที่เคยเขียนแถลงการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจะกลับเมืองไทยเมื่อถึงเวลาเหมาะสม ในครั้งนี้คุณทักษิณบอกว่า
"ยังไม่กลับตอนนี้ กลับได้อย่างไร กลับก็ถูกจับ สิ่งที่เขาทำกับผมทั้งหมด ก็เพื่อไม่ให้ผมอยู่ในประเทศ เป็นผลงานของคณะปฏิวัติ...ขั้นต่อไปก็คือการยุบพรรค"

ดูแล้วการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีแรงกระเพื่อมจากกรุงลอนดอน มาถึงประเทศไทย ก็คงจะไม่จบง่ายๆค่ะ ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นก่อนที่อดีตนายกรัฐมนตรีจะ "phone in" ในวันที่ 1 พฤศจิกายนหรือไม่ เพราะกระแสจากทางฝั่งไทยเองก็มีอยู่มิใช่น้อย

20.10.08

ดู...ความเคลื่อนไหวที่ศาลฎีกา วันที่ 21 ตุลาคม 2551


ช่วงนี้มีเรื่องให้ต้องนับถอยหลังกันมากมายค่ะ แต่คงไม่มีอะไรที่จะเท่ากับการฟังคำพิพากษาคดีประวัติศาสตร์วันพรุ่งนี้ (21 ตุลาคม 2551) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตอนนี้ก็เหลืออีกประมาณ 14 ชั่วโมงค่ะ ก็จะได้ฟังรายละเอียดการพิจารณาคดีขององค์คณะผู้พิพากษาในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินรัชดาภิเษก บนเนื้อที่ 33 ไร่ มูลค่า 772 ล้านบาท

ทำไมต้องเป็นคดีประวัติศาสตร์?

เพราะว่าอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ตกเป็นจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับในคดีนี้

ถ้าอดีตผู้นำประเทศและภรรยา เพียงสองท่านเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็อาจจะไม่มีคนคอยติดตามความเคลื่อนไหวของคดีมากขนาดนี้

แต่คดีนี้เกี่ยวข้องกับผู้คนหลายฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีจุดยืนคนละขั้วอย่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ กลุ่มแนวร่วมเพื่อประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ

และเกียวข้องกับอนาคตของทั้งคุณทักษิณและคุณหญิงพจมาน และการขอลี้ภัยทางการเมืองในประเทศอังกฤษ

และเกี่ยวข้องกับชะตาของประเทศไทย

เดิมพันครั้งนี้สูงมากค่ะ และเชื่อว่าวันพรุ่งนี้ผู้คนจำนวนมากก็จะต้องคอยฟังรายละเอียดว่าองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะอ่านคำตัดสินในคดีนี้อย่างไร

อีกอึดใจเดียวก็จะได้ทราบกันแล้ว

ติดตามความวุ่นวายทางการเมืองที่หลายๆฝ่ายกำลังหาทางปลดล๊อค แล้วพอได้อ่านความคิดของท่านพุทธทาสภิกขุ แล้วก็อดไม่ได้ค่ะที่จะเปรียบเทียบกับนักการเมืองในเมืองไทย ขอยกข้อเขียนของท่านพุทธทาสจากหนังสือ การเมืองคืออะไร ? มา ณ ที่นี้ค่ะ ท่านตั้งคำถามว่า

"...มีใครสักกี่คน ที่เป็นนักการเมือง เพื่อเอาบุญ, ด้วยการมุ่งสร้างสันติภาพขึ้นในโลก? และมีกี่คนที่เป็นนักการเมือง เพื่อ ตัวกู-ของกู, และมีผลกลายเป็นเรื่องของ กิน-กาม-เกียรติ, ชนิดที่เห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว. "

น่าจะเป็นคำถามที่ใช้ได้ไปตลอดกาลสำหรับผู้ที่อาสาเข้ามาทำงานการเมือง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่กำลังถามหาสันติภาพกันเช่นในเวลานี้

19.10.08

จับตาคดีดัง ใน 40 ชั่วโมง


อีก 40 ชั่วโมง จากนาทีที่ดิฉันเขียนบล็อกอยู่นี้ก็จะถึงนัดหมายสำคัญอีกวันหนึ่ง
กับคดีดังของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
ในวันที่ 21 ตุลาคม เวลา 14.00 น. โดยพันตำรวจโททักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เป็นจำเลยในคดี

ก่อนหน้านี้ศาลได้ออกหมายจับจำเลยทั้งสองไปแล้ว เพราะไม่มาฟังคำพิพากษาคดีการจัดซื้อที่ดินรัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 17 กันยายน

โดยรายละเอียดของคดีคือ จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกันเป็นคู่สัญญา หรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี และเป็นเจ้าพนักงาน และผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการ หรือดูแลกิจการใด เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่น ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ. 2542 มาตรา 4, 100 และ 122 ประมวลกฎหมายอาญามาตาร 33, 83, 86, 91, 152 และ 157 จากกรณีที่คุณหญิงพจมานเข้าประมูลซื้อขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก 4 แปลง มูลค่า 772 ล้านบาทเศษจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน

อย่างที่ทราบกันนะคะว่าตอนนี้จำเลยทั้งสองกำลังทำเรื่องขอลี้ภัยอยู่ในประเทศอังกฤษ และสำหรับพันตำรวจโททักษิณ หมายจับที่ออกมานี้เป็นใบที่สามแล้ว

และคดีนี้ที่ศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษากันในวันที่ 21 ตุลาคม เป็นคดีที่มีความสำคัญเพราะถึงศาลฎีกาแล้ว จะอุทธรณ์ไม่ได้แล้ว คำสั่งศาลถือเป็นคำตัดสินสูงสุด

ท่ามกลางกระแสการเมืองที่กำลังเชี่ยวกรากอยู่ขณะนี้ ถึงแม้จะได้เห็นภาพผู้บัญชาการทหารบกนั่งคุยกับนายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไปแล้วในวันนี้ ก็ยังไม่แน่นักว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากนี้ไปในอีก 40 ชั่วโมง

ด้านหนึ่งพันธมิตรบอกว่าจะใช้กลยุทธดาวกระจายอีกครั้งในวันจันทร์ ขณะที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช ก็ยังไม่สลายการชุมนุม

สถานการณ์ทางการเมืองอ่อนไหวเป็นอย่างยิ่งในห้วงเวลานี้






18.10.08

จับตาท่าที นายก vs แม่ทัพบก

สถานการณ์บ้านเมืองโดยเฉพาะการเมืองกำลังอ่อนไหว และเคลื่อนไหวกันอย่างรวดเร็วค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้หลายคนจับตามองว่านายกรัฐมนตรี และ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก จะเดินทางไปเยี่ยมทหารไทย บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมกันหรือไม่
ปรากฎว่าวันนี้นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปที่ อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ผู้เดียว โดยไม่มีผู้บัญชาการทหารบกไปด้วย
อาจจะกำลังวัดใจกันอยู่นะคะ หลังจากเกิดปรากฎการณ์ "ปฏิวัติเงียบ" ของผู้นำเหล่าทัพเมื่อเย็นวันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม และตามมาด้วย "ปฎิบัติการแถลงข่าวพร้อมแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล" ช่วงเย็นวันที่ 17 ตุลาคม
เป็นคมเฉือนคมผ่านหน้าจอโทรทัศน์กันในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงค่ะ
ขณะที่ทางฝ่ายกองทัพพร้อมกันแสดงจุดยืน บอกเป็นนัยว่า รัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบต่อการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม รัฐบาลก็แสดงจุดยืนที่ชัดเจนเช่นกันว่าจะไม่ยุบสภา ไม่ลาออก (อย่างน้อยก็ในช่วงนี้ไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้ง สสร 3 และแก้รัฐธรรมนูญได้สำเร็จ)
กองทัพกับรัฐบาลกำลังยืนอยู่คนละขั้วจนยากจะประสานหรือไม่???? ความเคลื่อนไหวแบบนี้รอกันเป็นวันก็คงจะไม่ไหวค่ะ คงต้องตามกันชั่วโมงต่อชั่วโมง
และพื้นที่ของสื่อ ก็จะเป็นอีกพื้นที่ที่จะได้เห็นความเคลื่อนไหวในสาธารณะ (public sphere) แต่ก็คงจะมีรายละเอียดอีกมากมายที่ไหลผ่านไปผ่านมาในพื้นที่ส่วนตัว (private sphere) ที่สาธารณะชนมิอาจล่วงรู้ได้ถึงการพูดคุย เจรจา ในหลายๆเรื่อง
ก็ต้องคอยตามกันต่อจริงๆค่ะ เพราะ 15 วันที่นายกรัฐมนตรีสมชาย บอกให้รอดูผลการตรวจสอบจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงอาจจะช่วงเวลาที่เนิ่นนานเกินไปก็ได้

17.10.08

"ปฏิวัติเงียบ" แบบดังๆ

เชื่อว่าหลายๆท่านก็คงจะได้เห็นภาพของการ "ปฏิวัติเงียบ" ของบรรดาผู้นำเหล่าทัพที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ในรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ ที่สัมภาษณ์โดยคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา ไปแล้วเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 16 ตุลาคม

เห็นภาพแล้วอยากจะเรียกว่า "ปฏิวัติทางทีวี" ค่ะ เพราะแทนที่จะเป็น silent coup กลับน่าจะเป็น tv coup ที่เป็นการประกาศจุดยืน ด้วยภาพของเหล่าแม่ทัพผ่านหน้าจอทีวี

แค่เพียงปรากฎตัวพร้อมๆกันหน้าจอโทรทัศน์ ในยุคที่ข่าวสารบ้านเมืองส่งถึงกันทั้งทาง วิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เนต ส่งข้อความ บล๊อก โทรศัพท์มือถือ ก็ทำให้เห็นภาพของความพร้อมเพรียงของผู้บัญชาการทหารบก พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเอกทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พลเรือเอกกำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารอากาศ พลอากาศเอกอิทธพร ศุภวงศ์ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ

คงจะได้เห็นภาพการผลิตซ้ำของคำพูดของผู้บัญชาการทหารบก อีกหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะในประโยคเด็ด ที่บอกว่า "เป็นผมลาออกไปแล้ว"

ก็เป็นเสียงสะท้อนๆที่ดังๆฟังชัดๆ ของผู้นำทหารในยามนี้ หลังจากเกิดความรุนแรงจากการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ตอนนี้ทุกฝ่ายต่างจับจ้องไปที่การตรวจสอบว่าใครคือผู้บัญชาการในคืนวันที่ 6 ตุลาคม เพื่อให้ใช้กำลังเข้าปราบการชุมนุม

เสียงของ "ปฏิวัติเงียบ" ครั้งนี้ จึงดังกระหึ่มอยู่ทั่วเมืองไทยในขณะนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าผู้ที่เกี่ยวข้องจะได้ยินหรือไม่ หรืออาจจะตั้งใจไม่ได้ยิน (หรือเปล่า)?

12.10.08

แถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีสมชาย เต็มไปด้วยความคลุมเครือ

ช่วงนี้เชื่อว่าท่านที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองจะต้องตื่นตัวเป็นอย่างมาก เพราะเกิดความเคลื่อนไหวที่สำคัญๆเกิดขึ้นตลอดเวลา

เชื่อว่าหลายท่านอดเป็นห่วงไม่ได้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะในวันพรุ่งนี้วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะใช้กลยุทธที่กลุ่มเรียกว่าดาวกระจาย ไปปิดล้อมหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทุกสายคงจะไม่จับจ้องการเคลื่อนการชุมนุมมากขนาดนี้ถ้า…

…ถ้าไม่เกิดเหตุรุนแรงขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ตำรวจใช้แกสน้ำตาสลายการชุมนุมของพันธมิตรที่เคลื่อนไปที่หน้ารัฐสภา และทำให้มีผู้เสียชีวิตไปถึง 2 คน และ บาดเจ็บไปถึง 478 คน

…ถ้าตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม ที่ผ่านมากลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการหรือ นปช ไม่ได้นัดรวมพลจัดกิจกรรมกันตลอดสุดสัปดาห์และบอกว่าจะจัดต่อไปจนถึงวันที่ 14 ตุลาคม

….ถ้านายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะพูดชัดเจนหรือแถลงให้แจ่มแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้นกับการสั่งการในวันที่ 7 ตุลาคม

คำถามที่สังคมกำลังต้องการคำตอบอย่างชัดเจนและแม่นยำ คือ ขั้นตอนการสั่งการในการสลายการชุมนุมวันที่ 7 ตุลาคมเป็นอย่างไร และ ใครจะต้องรับผิดชอบ

6 วันเต็มๆแล้วนะคะที่สังคมพูดคุยกันในเรื่องนี้ แต่จนถึงนาทีนี้ ยังไม่ได้ยินอะไรทีชัดเจนจากนายกรัฐมนตรีแม้แต่คำเดียว

การแถลงข่าวที่เพิ่งผ่านไปเมื่อสักครู่เวลา 20.30 น. ที่จัดแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ กลับไม่มีเรื่องนี้อีกอย่างที่น่าจะมี เพราะนี่เป็นการแถลงการณ์ด่วน นายกรัฐมนตรีพูดแค่เพียงว่าได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสองชุดเพื่อมาตรวจสอบข้อเท็จจริง และเพื่อการเยียวยาสิ่งที่เกิดขึ้น

จะไม่ช้าไปหน่อยเหรอคะกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว 6 วัน ดิฉันเพียงแต่หวังว่าจะมีถ้อยคำ มีข้อมูล มีความชัดเจน ออกมาจากผู้นำประเทศมากกว่านี้ในการแถลงการณ์ด่วน

ตอนนี้แม้แต่หน้าตาของคณะกรรมการอิสระก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีใครเข้ามาทำหน้าที่ และจะดำเนินการอย่างไร

ตอนนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเริ่มปิดทางเข้าบริเวณด้านข้างและด้านหน้าแล้วนะคะ และมีรายงานว่าจะเปิดอีกครั้งในช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ตั้งแต่ตีห้า

แต่ล่าสุดทางพันธมิตรบอกว่าจะเลื่อนการเคลื่อนขบวนออกไปก่อน วันที่ 13-14 ตุลาคมก็จะงดออกไปก่อน

การเผชิญหน้าก็จะได้ชะลอออกไปก่อน แต่ว่ารากของปัญหาที่แท้จริงก็กำลังรอการแก้ไขอย่างเร่งด่วนค่ะ

5.10.08

"พ่อค้าความตาย" ถูกยึดยื้อระหว่างหมีขาวและลุงแซม

วิคเตอร์ บูต หรือผู้ได้รับฉายาว่า “พ่อค้าความตาย” มาถูกจับที่กรุงเทพ เมื่อ 6 มีนาคม ที่ผ่านมา

นายบูต เป็นอดีตสายลับชาวรัสเซีย ที่ผันตัวมาเป็นพ่อค้าอาวุธ และถูกทางการสหรัฐกล่าวหาว่าเป็นผู้จัดหาอาวุธมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ ใหกับกลุ่มกบฏฟาร์ค ในโคลอมเบีย

ทางการสหรัฐเป็นผู้ออกหมายจับเพื่อให้ตำรวจไทยปฏิบัติการ

เมื่อพ่อค้าความตาย ชาวรัสเซีย มาถูกจับอยู่ในประเทศไทย ทำให้ตอนนี้ไทยต้องอยู่ตรงกลาง ระหว่าง ลุงแซมสหรัฐ กับ หมีขาวรัสเซีย แต่ละฝ่ายต่างต้องการให้ส่งนายบูต ไปที่ประเทศตน

สหรัฐต้องการดำเนินคดีกับนายบูต ในฐานะผู้ก่อการร้ายที่มีความผิดถึง สี่กระทง

แต่ทางรัสเซียก็ต้องการได้ตัวนายบูตคืน ในฐานะชาวรัสเซีย ที่รัฐบาลรัสเซียเห็นว่าไม่ได้ทำผิดอะไร

เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย ท่านทูตเยฟเกนี อาฟานาเซียฟ ยืนยันกับดิฉันตอนที่ได้สัมภาษณ์ท่านว่า นายบูตไม่ได้ทำความผิดอะไร และข้อหาต่างๆที่ทาการสหรัฐตั้งข้อหาไว้ ก็ถูกยกเลิกหมดแล้วในไทย ท่านทูตบอกว่า “เชื่อมั่นในระบบศาลยุติธรรมของไทย ว่าจะตัดสินโดยไม่มีอคติ” และเสริมด้วยว่า จะไม่กดดันทางการไทยในเรื่องนี้ โดยรัสเซียจะพูดคุยกับสหรัฐเอง

นอกจากถูกตั้งข้อสงสัยว่าจำหน่ายอาวุธให้กลุ่มกบฏฟาร์คแล้ว นายบูตถูกสงสัยด้วยว่าเป็นผู้จัดหาอาวุธสงครามให้กับกลุ่มทาเลบัน และอัลไคด้า รวมถึงหาอาวุธเพื่อสนับสนุนสงครามกลางเมืองในทวีปอาฟริกาด้วย

ชื่อของนายบูตเริ่มเป็นที่จับตามองตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน แต่มาถูกจับที่กรุงเทพเมื่อ 6 มีนาคมค่ะ เพียงห้าวัน หลังจากที่รัฐบาลโคลอมเบียพบคอมพิวเตอร์ของหัวหน้ากลุ่มกบฏฟาร์ค ที่ค่ายแห่งหนึ่งในเอควาดอร์

ต้องดูกันต่อว่านายบูตจะถูกส่งตัวในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปที่ประเทศไหน สหรัฐ หรือจะได้กลับไปรัสเซีย บ้านเกิด

3.10.08

ลุงโจ กับ หลานซาร่าห์ ปะทะคารมครั้งแรกและครั้งเดียว

ตอนนี้ผู้ท้าชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐ จากสองพรรคอเมริกัน กำลังโต้คารมกันอย่างสดๆค่ะ เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ทั้งสองจะต้องเจอกันบนเวที ในการโต้วาทีสดๆ

Joe Biden วุฒิสมาชิกจาก Delaware พรรคเดโมแครต เจอกับ Sarah Palin วุฒิสมาชิกจาก Alaska พรรค Republican

ถกเถียงกันหลายๆเรื่องค่ะ หนีไม่พ้นเรื่องหลักเรื่องแรก กับปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น เป็นการวัดกึ๋น การพูดกันสดๆของทั้งสองท่าน

เป็นการพูดกันสดๆ ที่มีเสน่ห์ยิ่งนัก ที่ได้เห็นลีลาของนักพูด มาทดสอบสมองกัน
และเห็นต่างกันในประเด็นหลักๆ ทั้งเรื่องอิรัก สิ่งแวดล้อม และปัญหาเศรษฐกิจ

ตอนนี้นักวิเคราะห์ดูค่อนข้างชื่นชม Palin ที่ดูแล้วมีความมั่นอกมั่นใจขณะโต้วาที ขณะที่ Biden ก็อาศัยความเก๋าในการแสดงวิสัยทัศน์

งานนี้อาจจะลงกันยากค่ะ แต่อีกนัดที่ต้องติดตามกันอย่างเข้มข้นก็คือการโต้วาที นัดที่สองของผู้สมัครตำแหน่งประธานาธิบดี จากสองพรรค

ช่วงนี้ความเคลื่อนไหวใหญ่ๆ ไปอยู่ที่อเมริกา ที่กำลังถูกจับจ้องอย่างใกล้ชิดค่ะ

อย่างว่าแหละค่ะเป็นยักษ์ใหญ่ ขยับตัวทำอะไรก็จะกระทบประเทศอื่นๆไปหมด

1.10.08

พี่เบิ้มสหรัฐ เจอศึกหนักรอบตัว


อีกไม่ถึง 48 ชั่วโมง ที่ต้องจับตากันว่าสภาคองเกรสของสหรัฐ จะโหวตผ่านร่างกฎหมายเพื่อกอบกู้สถาบันการเงินที่ต้องใช้งบประมาณมากถึง 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือไม่


ช่วงนี้คงจะไม่มีข่าวไหนร้อนแรงไปกว่าความเคลื่อนไหวที่มีต้นตอจากสหรัฐ ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง ที่เกี่ยวข้องกันโดยตรงค่ะ


เศรษฐกิจที่กำลังเจอวิกฤติที่เรียกว่า hamburger crisis ก็กำลังทำให้ทั้งโลกวิตก เพราะเกรงว่าเศรษฐกิจของตนจะโดนหางเลขไปด้วย


สหรัฐเป็นประเทศที่เศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก ถ้าปัญหาสถาบันการเงินล้มเป็นโดมิโน เจ้าของกิจการขนาดเล็ก ชาวอเมริกันทั่วไปก็จะต้องเดือดร้อน เมื่ออำนาจในการจับจ่ายของคนสหรัฐลดลง ก็ย่อมส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศอื่น ที่ต้องพึ่งพิงตลาดสหรัฐ อย่างคนไทยก็จะขายของ ส่งออกให้คนอเมริกันได้น้อยลง คนอเมริกันก็อาจจะมาเที่ยวเมืองไทยน้อยลงไปด้วย


อีกด้านหนึ่งที่ต้องจับตาในวันพฤหัสบดีเช่นเดียวกัน ก็คือการโต้วาทีของผู้สมัครตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐ ระหว่าง Sarah Palin ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน และ Joseph Biden จากพรรคเดโมแครต ที่ต้องมาปะทะคารมกันครั้งแรกในเวทีระดับประเทศ
เชื่อว่าประเด็นเศรษฐกิจจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ทั้งสองฝ่ายต้องเตรียมตัวกันให้ดีค่ะ
วันพฤหัสบดี จับตาความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญทั้งเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง จากประเทศพี่เบิ้มอย่างสหรัฐค่ะ