5.8.09

บันทึกภาพประวัติศาสตร์ สหรัฐ - เกาหลีเหนือ



กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ไปแล้วค่ะ บิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ และ คิม จอง อิล ประธานาธิบเกาหลีเหนือ บันทึกภาพร่วมกัน ในการเยือนเกาหลีเหนือแบบส่วนตัวของอดีตผู้นำเมืองลุงแซม

คลินตัน บอกว่ามีข่าวสารฝากมาจากประธานาธิบดีโอบามาด้วย แต่ทางทำเนียบไวท์เฮาส์ต้องรีบออกมาแก้ข่าวว่าไม่จริง โอบามาไม่ได้ฝากอะไรมากับคลินตันเลย

คาดว่าไปเยือนครั้งนี้เพื่อเจรจาให้ผู้นำเกาหลีเหนือปล่อยตัวสองผู้สื่อข่าว ยูน่า หลี และลอร่า หลิง ผู้สื่อข่าวของ Current Media ของอดีตรองประธานาธิบดีอัลกอร์ ที่ถูกจับตัวไปขณะทำงานอยู่ที่พรมแดนจีนเกาหลีเหนือ เมื่อเดือนมีนาคม และถูกสั่งตัดสินจำคุกนานถึง 12 ปีเมื่อเดือนมิถุนายน

แต่การไปเยือนครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งค่ะ เพราะเกาหลีเหนือมีท่าทีเย็นชามาตลอดเรื่องโครงการนิวเคลียร์ ที่ไม่เคยฟังเสียงทัดทานจากที่ประชุมหกฝ่าย ที่มีจีน รัสเซีย เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ สหรัฐ และ ญี่ปุ่น

เกาหลีเหนือไม่ได้แจ้งล่วงหน้าเลยสำหรับการเยือนครั้งนี้ค่ะ แต่ก็เรียกได้ว่าต้อนรับกันอย่างยิ่งใหญ่ทีเดียว นักวิเคราะห์มองกันว่าครั้งนี้คลินตันอาจจะสร้างคุณูปการในเชิงการทูตให้กับสหรัฐและน่าจะทำให้ความสัมพันธ์เป็นไปในทิศทางเป็นบวกมากขึ้น แต่จนถึงตอนนี้เกาหลีเหนือยังไม่แสดงท่าทีตอบสนองนะคะว่าจะยอมปล่อยตัวสองผู้สื่อข่าวสาวหรือไม่

น่าคิดว่า ฮิลลารี คลินตัน จะคิดอย่างไรเพราะเธอเพิ่งปะทะคารมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงทางการทูตของเกาหลีเหนือ ตอนร่วมประชุมเออาร์เอฟ ที่ภูเก็ต เมื่อปลายเดือนที่แล้ว หรือจะวางหมากกันไว้แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้

13 comments:

ungearsue said...

ล่าสุดดูข่าวเมื่อเช้าเห็นว่านายคิมจองอิลอภัยโทษให้สองนักข่าวสาวเป็นกรณีพิเศษแล้ว ตอนนี้นักข่าวทั้งสองอยู่บนเครื่องบินลำเดียวกับคลินตัน โดยคลินตันจะไปส่งถึง L.A. เลยทีเดียว

--AhttaN-- said...

..สำนักข่าวเคซีเอ็นเอรายงานว่า..

เกาหลีเหนืออภัยโทษผู้สื่อข่าวหญิงสองคน หลังอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวขอโทษกับคิมจองอิล ผู้นำโสมแดงต่อพฤติกรรมของพวกเธอ

บิล คลินตัน เดินทางออกจากสนามบินฮัน โดยมียาง ฮยอง ซบ รองประธานสภาบริหารสูงสุดของสภาประชาชนสูงสุดของเกาหลีเหนือ และคิม คเย กวาน ผู้ช่วยรัฐมนตรีกิจการต่างประเทศเดินทางไปส่ง


..คนเราหากลดศักดิ์ศรีลงบ้าง.. กล่าว "ขอโทษ" ให้เป็นนิสัย เมื่อรู้สึกผิดจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกดีและอยากให้อภัย.. แต่อย่าให้มันช้านักหล่ะ(อย่าคิดนาน)..



++..แค่คำว่า"ขอโทษ"..มันก็อาจทำให้อะไรดีขึ้น
ได้..++


ป.ล. อย่านอนดึกมากนัก..เป็นห่วง..

Anonymous said...

เพื่อนๆ ของคุณ AhttaN ไปไหนหมดล่ะ เห็นมีแค่คุณกับพี่อึ้งอยู่สองคนเองอ่ะ...รึว่าหนีไป tweet กันหมดแระ

Anonymous said...

วันนี้เป็นอะไรเนี่ยะ... เน็ตช้าจัง ....เดี๋ยวเปลี่ยนค่ายเลย


พี่ณัฏฐาวันนี้ ใช้ได้เลยนะคะ..ยิ้มแย้มดีค่ะ



*** นอนไวๆ นะคะ ตาจะได้ไม่แดง ***


หมู่บ้านอะไร??? ชื่อคุ้นๆ เหมือนอยู่แถวบ้านเรา .. ไปฟังก่อนดีกว่า...

Anonymous said...

ผ่านไปอีก 1 วัน

** ลมยังคงสงบ ....**


(ไม่ต้องมาตีความข้อความเค้าเลยนะ ... ให้รู้
คนเดียวพอ ฮึฮึฮึๆๆๆ )

นอนดีก่า...

--AhttaN-- said...

.. สำนักข่าวเอเอฟพี..

รายงานยืนยันว่าอดีตประธานาธิบดีคลินตันไม่ได้กล่าวคำขอโทษใดๆ ต่อคิมจองอิลเพื่อให้เกาหลีเหนือยอมปล่อยตัวผู้สื่อข่าวทั้งสอง
ซึ่งขัดแย้งกับรายงานของสำนักข่าวเคซีเอ็นเอของทางการเกาหลีเหนือ


..เอายังไงกันแน่..ข้อมูลใดเท็จจริงอย่างไรกันหล่ะเนี่ย..
..แต่เอาเถอะยังไงก็ทำได้ดีและถูกต้องแล้วทั้ง ๒ ฝ่าย..


++..ยินดีด้วยกับอิสระภาพ..เพื่อมนุษยธรรม..++

Anonymous said...

ขอนำเสนอเกร็ดความรู้นำมาจากบทความของ ผศ. ดร. ผสุ เดชะรินทร์ มาฝากค่ะ ----

***โรคจากการทำงานเร็วหลายอย่างพร้อมกัน ***
(Attention Deficit Trait)

ถ้าหากคุณเป็นพวกที่สามารถหรือชอบที่จะทำงานหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน เช่นในขณะที่กำลังเช็กอีเมล์ทางคอมพิวเตอร์ก็กำลังคุยโทรศัพท์สั่งงานกับลูกน้อง พร้อมทั้งดื่มกาแฟไปพร้อมกัน หรือในขณะที่กำลังนั่งประชุมก็สั่งานพร้อมทั้งหาข้อมูล และตัดสินใจผ่านทางเครื่องโน้ตบุ๊คที่ตั้งอยู่ตรงหน้า
ความว่องไวในการทำงานแบบนี้ เรียกว่าเป็น Multitasking สาเหตุหนึ่งของโรคร้ายใหม่ในที่ทำงาน ที่เราเรียกว่า Attention Deficit Trait หรือ ADT โรค ADT มักจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อเราก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ การที่มีความรู้สึกว่ามีงานด่วน หรือมีสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำเข้ามาเรื่อยๆ แล้วคุณพยายามที่จะจัดการกับงานให้สำเร็จ จะเป็นบ่อเกิดที่สำคัญของโรค ADT คุณจะอยู่ในอาการรีบร้อนตลอดเวลา และขาดสมาธิ (Unfocused) เป็นไปได้ว่าสมองจะสูญเสียความสามารถในการคิดวิเคราะห์และทำงานอย่างละเอียดลึกซึ้ง เป็นผลให้งานที่ออกมาเป็นงานที่เร็วแต่ไม่ลึก ทำให้ความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ก็ลดลงตามไปด้วย -----


เจ้าของ blog ค่ะอ่านแล้วก็หาเวลาพักผ่อนให้มากๆ ด้วยนะ---ยิ้มให้มากๆ ความเครียดต่างๆ จะมลายหายไป รู้นะว่างานเยอะ เป็นห่วงเสมอค่ะ

*****nui

Anonymous said...

มีประโยชน์ดีค่ะ

Anonymous said...

"ความขัดแย้ง" มีอยู่ทุกส่วนในสังคม ซึ่งถ้าหากเราพิจารณากันให้ดีเราจะรู้และเข้าใจได้ว่านั้นเป็นส่วนผสมอย่างหนึ่งซึ่งขาดไม่ได้ ไม่ว่าในการใช้ชีวิตคู่ เพียงแต่ทุกครั้งที่เกิดความขัดแย้งควรเปิดโอกาสให้ตัวเองและคนที่เรารักได้เรียนรู้ที่ 'เริ่มต้นใหม่' อีกครั้ง เนื่องเพราะเบื้องหลังความขัดแย้งที่รอเวลาสลายตัวนั้น อาจมีสิ่งดีๆ ซ่อนอยู่ก็เป็นได้

เคล็ดลับของการ 'เริ่มต้นใหม่' อยู่ที่ ....
1. ลดอัตตา คือลดความคิดเข้าข้างตัวเองลง แล้วมองในมุมที่แตกต่าง เช่นลองคิดว่าตัวเอง (อาจ) เป็นฝ่ายผิด คนอื่น (อาจ) เป็นฝ่ายถูกดูบ้าง และอย่ามองว่าการที่เราผิดเป็นเรื่องน่าอาย และดูเป็นคนแพ้ เพราะในสนามความรัก เรื่องผลัดกันแพ้ชนะถือเป็นเรื่องของการให้เกียรติซึ่งกันและกันมากกว่า
2. หาโอกาสฟังอย่างลึกซึ้ง ใช้เหตุผลในการค้นหาต้นตอของความขัดแย้งว่าอยู่ตรงไหน อาจจะต้องมีการ 'ปลีกวิเวก' สักวันสองวันเพื่อไตร่ตรองมองทุกอย่างให้ลึกซึ้ง ในข้อนี้ต้องยอมรับความจริงให้ได้ ถ้าไตร่ตรองแล้วปรากฎว่าเราเป็นฝ่ายผิด และการขอโทษเมื่อผิด เป็นการเริ่มต้นสิ่งดีๆ ที่ช่วยเพิ่มดีกรีความรักให้พุ่งทะลุกราฟได้แบบไม่ต้องลงทุนอะไรมาก
3. หาโอกาสเปิดอกคุยแบบตรงไปตรงมา แต่ต้องเป็นการเปิดใจอย่างมีสติ เก็บอารมณ์ปี๊ดๆ ใส่ตู้ลงกลอนให้แน่น เพราะถ้าปล่อยให้เข้ามาวุ่ยวายแทนที่จะได้เริ่มใหม่กลับกลายเป็นเร่งให้จบลงแบบแย่ๆ เพราะขั้นตอนนี้มีไว้เพื่อให้ช่วยกันค้นหาว่าเราทั้งคู่มีข้อผิดพลาดตรงไหน อะไรคือสาเหตุของภาวะวิกฤติ และจะร่วมมือกันแก้ไขได้อย่างไร มากกว่ามานั่งระบายอารมณ์ใส่กัน
4. คิดให้ออกว่าที่ผ่านมาเคยฝ่าฟันอะไรมากันบ้าง นึกถึงวันยากลำบากที่เคยเผชิญมาร่วมกัน เพราะคนเราเมื่อมีความเข้าใจและเห็นใจกันเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้ว อะไรๆ ที่เคยยุ่งยากวุ่นวายก็กลายเป็นเรื่องเล็ก หรืออาจมองเป็นเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องไปก็ได้

----------
คงจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่กำลังมีความขัดแย้งอยู่ในขณะนี้ และหวังว่าท่านอาจจะสบายใจขึ้น......ลอกมาจาก Magazine 'Woman Plus'
.....แต่เจ้าของ blog น่ะ ...เป็นคนสบายๆ อยู่แล้ว...ไม่มีซิน่า...

*****nui

Anonymous said...

เมื่อวานที่พูดถึงการเขียนจดหมาย ดีนะคิดถึงการเขียนจดหมายเหมือนกัน สมัยเด็กๆ (ย้อนไปมากเลย..เกือบจำไม่ได้...) เลือกลายกระดาษสวยๆ นะ แล้วก็เขียน เขียน เขียน ที่อยากเขียน

พอเริ่มจะมีอายุ มีงานการทำมันก็เขียนน้อยลง วันวัน เขียนไม่กี่ตัว พอจะเขียนข้อความเยอะๆ สักทีเริ่มจะมือแข็ง (อันนี้เรื่องจริง...คิดเยอะเขียนน้อย...เป็นกันทั้งน้าน..บรรดาผู้มีอายุทั้งหลาย)


** แล้วคนที่ออกรายการ ใช่คนที่ถ่ายหน้าใหญ่กว่าตัวที่อยู่ใน twitter คุณณัฏฐาหรือเปล่าล่ะ หน้าสวยๆไม่ลง ลงภาพซะอยากจะกลัวเลย แต่คงจะมีดีแหละ ไม่งั้นคงไม่พลางตัวซะขนาดนั้น เห็นเขาบอกว่าเขาสวยที่สุดในประเทศด้วย... สุดพูดจริงเลยท่าทาง**

Anonymous said...

เข้ามาเยี่ยม Blog คุณณัฏฐาฯค่ะ ขอขอบคุณ comment ที่ แนะนำบทความ ดร.ผสุฯ นะคะ ..Poranee..

Anonymous said...

Poranee ใครอ่ะ ???

พี่ณัฏฐา คำว่า"กระหนุงกระหนิง" เนี่ยะเขาไว้ใช้กับคนที่เป็นแฟนกันหรือเปล่าพี่ มันแหม่งๆ ไงไง ไม่รู้ (หรือเราไม่รู้เรื่องเองหว่า..???)

โอ้ว!! ว้าว !!! น่าตกใจสุดๆ เด็กสมัยนี้เขาเลียนแบบผู้ใหญ่กันหรือเปล่าเนี่ยะ ประท้วงไล่ ผอ. (ไม่ธรรมดาจริงๆ เด็กเอ๋ยเด็กน้อย..)

ผู้ใหญ่ก็ต้องระวังตัวกันหน่อย เด็กสมัยนี้เขากล้าแสดงออก ..... น่ากลัวจริง จริ้ง ...

Anonymous said...

พี่ ... พี่ณัฏฐา วันนี้พี่ดูจะมีความสุขมากไปมั้ยเนี่ยะ เริ่มจะอิจฉาแล้วนะ... ไปมีความสุขอะไรมาคะพี่

เราเนี่ยะต้องมานั่ง comment ฟังด้วย พิมพ์ด้วย ดูด้วย ... พูดงี้แล้วนึกถึงโรค ADT (แต่เราล้ำไปแล้วหล่ะ ... สมาธิยาวอยู่ ... ฝึกมาอย่างดี..เก่งซะ)


ว่าไปแล้วทำไมเราไม่ดูทีวีอย่างเดียวนะ .. เออใช่.. Bye.ดีก่า