21.1.09

บารัก ฮุสเซน โอบามา ประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐ




เชื่อว่า หลายๆท่านจากนี้ไปอาจจะมีอาการ "เสพติด" โอบามา โดยเฉพาะ ลีลาการพูด เนื้อหา ท่วงท่า เพราะฟังทีไรได้จุดพลัง และประกายให้กับผู้ฟังทุกครั้ง

คุยกับเพื่อนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองมาตลอด เห็นตรงกันเลยว่า ภาพของสหรัฐอเมริกาดูดีขึ้นมาทันทีในสายตาชาวโลก

ก็คงจะดีขึ้นมากโขละค่ะ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาทุกข์ทรมานของชาวอเมริกันในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา กับอดีตประธานาธิบดีที่เพิ่งจากทำเนียบไวท์เฮาส์กลับไปอยู่เท็กซัส

ขณะที่ยินดีกับโอบามา ในวันประวัติศาสตร์ 20 มกราคม 2552 เวลาเที่ยงตรง ที่ได้กลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 44 อย่างสมบูรณ์แล้ว ก็อดเห็นใจไม่ได้ว่า เขาจะต้องเจอกับภาระที่ "หนักอึ้ง" แค่หนักอย่างเดียวยังไม่เท่าไร แต่ความคาดหวังของผู้คนสูงมากๆ เพราะไม่เพียงแต่ชาวอเมริกันเท่านั้นที่หวังไว้สูงลิ่ว คนทั่วโลกเองก็ลุ้น และ รอให้โอบามา เข้าไปช่วยแก้ปัญหา ฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของโลกใบนี้ให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น

อย่างเรื่องของการแก้ปํญหาวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ในสหรัฐที่กำลังจะล่มมิล่มแหล่ ชาวอเมริกันก็ตั้งตารอขอให้ได้เงินช่วยเหลือเพื่อพยุง Big Three ไว้เป็นการด่วน แต่ผู้นำเยอรมนีนางอังเกล่า แมเคิล ได้ขู่ไว้แล้วนะคะว่าจะไม่สบอารมณ์แน่นอนถ้าสหรัฐให้เงินอุดหนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ในบ้านมากเกินไป เพราะจะทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ของเยอรมนีตายไปด้วย ก็แหม ถ้าสหรัฐเจ๊ง งานนี้เยอรมนีก็จะยิ้มนะสิคะ

แค่เรื่องเดียวนี่ก็กลุ้มแล้ว จะเอาใจคนในบ้านหรือจะรักษาสัมพันธ์กับเพื่อนในเวทีโลกดี????

ยังไม่นับเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องสงคราม เรื่องสถาบันการเงิน และอื่นๆที่เป็นเรื่องเร่งด่วนที่รอโอบามาเข้าไปจัดการทั้งนั้น

แต่ "มนต์" ของโอบามา ก็อาจจะพอทำให้คลายกังวลกันไปได้บ้าง กับประโยคที่ว่า

"We gather because we have chosen hope over fear, unity of purpose over conflict and discord."

"เรามารวมกันได้เพราะเราได้เลือกความหวังแทนที่จะหวั่นวิตก เลือกเป็นเอกภาพแทนที่ความขัดแย้งและความไม่ลงรอย"

แถมหลังจากเต้นรำกับภรรยามิเชล โอบามา แล้วยังหันกลับมาบอกผู้ไปร่วมงานเป็นประโยคแรกด้วยว่า Let's change America

ทั้งเอาจริงเอาจัง ทั้งอ้อนขนาดนี้ ชาวอเมริกันก็คงชื่นใจ เหมือนมีมนต์ไปเป่าใจแล้วละคะ

ช่วงเวลาพิสูจน์ผลงานเริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่วินาทีนี้แล้ว

7 comments:

Anonymous said...

เรามาลองดูกันดีไหมว่าใบหน้าของโอบามาในอีก 3 เดือนข้างหน้า จะเหมือนกับภาพการ์ตูนล้อเลียนที่คุณณัฏฐาเอามาให้ดูเมื่อคืนนี้หรือเปล่า

โชคดีที่ยังทำงานอยู่ เลยลองแวะเข้ามาดูว่าคุณณัฏฐาเข้ามาอัพบล็อคหรือยัง.... แล้วคุณก็มาจริงๆ

klanghow

Anonymous said...

เต๋า สบายดีมะ จากเพื่อน ห้อง /9

ungearsue said...

ขอบคุณสำหรับสกู๊ปโรฮิงยา

Unknown said...

ถ้าคุณณัฐฐา ใช้เวลาสำหรับการทำงานตามวิชาชีพตัวเองมากขึ้น ค้นหาสารสนเทศเพิ่มเติมนอกเหนือจากข่าวที่นักข่าวต่างประเทศเลือกแปลตาม CNN อาทิ บทความ "forgive or forgotW ของ ครุกแมน ใน New York Times ก็ได้บอกถึงตัวตนของ โอบามา ได้ดี
ถ้าคุณอ่านสารสนเทศจากข่าวกระแสรอง เช่น indymedia, alternet.net, unitedforpeace จะพบว่าชาวอเมริกาจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะภาคประชาสังคม ไม่พึงพอใจต่อมาตรการของ บุช สืบต่อถึง โอบามา ในการใช้งบประมาณเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ภาพที่คุณอ้างว่า ดีขึ้นในสายตาชาวโลกก็เป็นไปตามประโคมของสื่อกระแสหลัก คงไม่ได้ทำให้ทัศนคติของคนทั่วไปจะเปลี่ยน ตามใดที่ยังไม่ได้กระทำ
การอุ้ม Big Three ของรัฐบาลสหรัฐ ที่สร้างความไม่พอใจให้ชาติอุตสาหกรรมอื่น ที่สำคัญมาจากที่สหรัฐเคยโฆษณาเรื่องเศรษฐกิจเสรี รัฐต้องไม่เข้าไปแทรกแซงกลไกตลาด รวมถึงการอุ้มภาคการเงิน สหรับป่าวประกาศมาตั้งทศวรรษ 1980 เรื่องไม่ให้อุ้ม จนสหรัฐสามารถครอบงำภาคการเงิน ภาคสาธารณูปโภคในลาตินอเมริกา ประชาชนลาตินต้องใช้น้ำ ไฟฟ้าและสาธารณูปโภคอื่นที่แสนแพง แม้กระทั่งประเทศไทย ผมเชื่อคุณแก่พอที่จะรู้เรื่อง “ต้มยำกุ้ง” ที่สหรับและ IMF เข้ามาครอบงำนโยบายให้ปิดสถาบันการเงิน สร้างผลกระทบกับอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ ยานยนต์ จนโตโยต้าต้องปิดสายการผลิต 1 เดือน เพราะการปิดสถาบันการเงินของ ทนง ลำใย ไม่การเตรียมการทำให้ไม่สามารถมีสินเชื่อให้กับผู้ซื้อรถยนต์ แล้ววันหนึ่งสหรัฐก็ทิ้งหลักการของตัวเอง เมื่อตัวเองเพลี่ยงพล้ำ มาอุ้มภาคเงินและภาคการผลิต ถ้าเป็นเช่นนี้เรียกได้ว่าสหรัฐ “ตอแหล” มาตลอด จึงน่าสงสัยก่อนที่คุณและคุณกรุณา จะออกมาเชียร์ในรายงานข่าวของคุณ ได้มีการไตร่ตรองหรือยัง
สำหรับการถอนทหารของโอบามา ถ้าคุณจะเชียร์กันต่อไป ผมอยากให้ข้อมูลว่า แผนถอนทหารของสหรัฐ มีขึ้นในสมัยบุชแล้ว เพียงแต่จะเริ่มต้นเมื่อไรเท่านั้นเอง คุณรู้หรือไม่ว่า กองกำลังที่สหรัฐหนุนหลัง มีมากถึง 300,000 คน เป็นทหารรับจ้าง 150,000 คน กองกำลังความมั่นคงของรัฐบาล 80,000 คน และกองกำลังซุนหนี่ที่เรียกว่า “Awaken force” อีก 70,000 คน กองกำลังต่อต้าน อาทิ Sadr และกองกำลังชาวซุนหนี่ที่ต่อต้านสหรัฐมีไม่เกิน 30,000 คน ถ้าโอบามาจะ “Change” ก็ต้องถอนกำลังจากอัฟกานิสถาน แต่เชื่อว่าไม่ ถ้าไม่ก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากบุช เพียงแต่ “ตอแหล” มากกว่า

ungearsue said...

We are ready to lead once more. ประโยคนี้แหละสร้างขวัญกำลังใจให้ชาวอเมริกันฮึกเหิมขึ้นหลังจาก hamburger crisis

Anonymous said...

สถานการณ์โลกกำลังตกต่ำมาก สังเกตุได้จากผู้สมัครประธานาธิบดีให้ดี คนอเมริกาจำเป็นต้องเลือก คนดำ ผู้หญิง และคนแก่ และที่คนดำชนะ ไม่ได้ดิบดีอะไรหรอก ขอบอกว่า พอดีเงินสนับสนุนของผู้หญิงหมดเลยต้องถอย (ข่าววงในทำเนียบขาวกระซิบบอก) ส่วนคนแก่ไม่ต้องพูดเพราะยังไงก็ไปไม่ถึงฝั่งอยุู่แล้ว นี่คือ ความอัปยศของสังคมอเมริกา ยุค 2009 ต่างหาก แล้วดูกันต่อไป

Anonymous said...

ผมว่าบางท่านอาจมีทัศนคติในแง่ลบ หรือมองโลกในแง่ร้ายมากเกินไปหน่อย...เช่น..ที่กล่าวเชิงตำหนิว่า ถ้าคุณณัฐฐา.."ใช้เวลาสำหรับการทำงานตามวิชาชีพตัวเองมากขึ้น ..." นั้น ผมว่าคุณณัฐฐาน่าจะใช้เวลากับงานตามวิชาชีพไปไม่น้อยกว่าคนอ่านข่าวคนอื่นๆ อย่างน้อยก็มากพอที่ใช้เวลามาค้นค้วาหาประเด็นมาคุยกับผู้อ่าน/ผู้ชม ในบล็อกนี้ไง...ผมไม่เห็นคุณ Jul จะไปตำหนิ คนอ่านข่าวดังๆแต่ไร้สาระ(เช่น กรรมกรข่าว ฯลฯ)ยังไง ก็ให้กำลังใจ "คนสวยใจดำ" เสมอนะครับ..
ส่วนเรื่อง โอบามา ยังดูอยู่ว่า "ของจริง" รึเปล่า? เพราะโดยธรรมชาติคน "พูด" เก่ง มักจะ "ทำ" ไม่เก่ง เพราะเป็นเลิศในกลายด้านพร้อมๆกันนั้น หายากครับ...
แต่ผมก็เอาใจช่วยการตัดสินใจเชิงนโยบายในการ "เปลี่ยน" สภาวะการณ์ด้านต่างๆที่สหรัฐเผชิญกับความอึดอัดคับข้องมานานหลายปี ทั้งด้านการเมืองระหว่างประเทศ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสิ่งแวดล้อม ฯลฯ เพราะสหรัฐถือครองทุนและทรัพยากรของโลกใว้มากที่สุด ขยับ หรือ เขย่า เมื่อไหร่ โลกก็พลอยสั่นตามไปด้วย ดังนั้น การ "เปลี่ยน" ในสหรัฐก็เท่ากับการสร้างผลสะเทือนในการเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ของโลกด้วย
งเรื่องที่ทำไปแบ้วเป็นที่วิพสกษ์วิจารณ์ว่า ยังไม่มีอะไรใหม่ ที่จะเทียบเคียงกับแคมเปญหาเสียงของแกได้นั้น
แต่ผมว่า การปิดคุกลับกัวตานาโมในวันแรกที่เข้าทำงานนั้นถือเป็นสัญญลักษณ์และสัญญาณที่ดีที่ โอบามา สื่อสารต่อชาวโลก...เพื่อให้หลายฝ่ายเตรียมการสำหรับรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายครั้งใหม่
...ที่มาอ้างว่าบุชเตรียมแผนถอนทหารไว้นานแล้ว(แต่ทำไมไม่ทำ..?) อาการคล้ายๆกับที่มีคนตำหนิคณะราษฏร์ว่าเขาเตรียมตั้งประชาธิปไตยในเมืองจำลองชื่อ ดุสิตธานี และเตรียมเผปลี่ยนแปลงการปกครองอยู่แล้ว..(ซึ่งไม่รู้ว่าถ้าคณะราษฏร์ไม่ก่อการก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดเมืองไทยจะได้เป็นประชาธิปไตยแน่นอน...?)
คือ..ถ้าบุชเตรียมทำเรื่องดีๆไว้มากมายแต่ก็ไม่ลงมือทำสัดกที ย่อมไม่ควรได้รับเครดิตใดๆ ซึ่งหากโอบามากล้าปิดกัวตานาโม เขาก็ต้องกล้าถอนทหารจากอิรัก กล้าเลิกนโยบายทำตัวเป็นจ้าวโลกสักที..จะคอยดูและเอาใจช่วย เมื่อโอบามากล้าเปลี่ยนอเมริกามากเท่าใด..โลกนี้ก็จะน่าอยู่เพิ่มขึ้นเท่านั้น
ห่วงอยู่อย่างเดียว...
กลัวโดนเหมือนเคนาดี้ครับ.